วันเสาร์

๕. เปรตภูมิ

เปรตภูมิ เป็นที่อยู่ของบุคคลที่ทำบาปเบากว่าพวกที่ไปเกิดในนรกภูมิ เป็นภูมิที่สัตว์นรกถูกทรมานด้วยการอดอยากหิวโหย เปรตบางชนิดต้องกิน หนอง เลือด เสมหะ อุจจาระ เป็นอาหาร 

ที่อยู่ของเปรต เปรตไม่มีที่อยู่โดยเฉพาะ จะอยู่ทั่วๆ ไปตามป่า ภูเขา เหว เกาะ แก่ง ทะเล มหาสมุทร ป่าช้า เป็นต้น
ชนิดของเปรต เปรตมีหลายจำพวก มีทั้งพวกที่ตัวเล็ก ตัวใหญ่ บางพวกแปลงกายเป็นเทวดา มนุษย์ผู้ชาย มนุษย์ผู้หญิง ดาบส พระ เณร หรือชี ทำให้ผู้พบเห็นเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเทวดา พระ เณร จริงๆเจตนาของการแปลงกายก็เพื่อจะช่วยเหลือเกื้อกูลแก่ผู้พบเห็นนั้น ส่วนการแปลงกายที่มุ่งจะทำร้ายให้เกิดความเกรงกลัวเสียขวัญตกใจ ก็จะแปลงกายเป็นวัว ควาย ช้าง สุนัข รูปร่างใหญ่โตน่าเกลียดน่ากลัว
อาหารของเปรต เปรตทั้งหลายต้องเสวยทุกข์เวทนาคือการอดข้าวอดน้ำ เปรตบางพวกจึงเข้าไปกินเศษอาหารที่ชาวบ้านเขาทิ้งไว้ บางพวกกินเสมหะ น้ำลาย ของโสโครกต่างๆ ท่านได้กล่าวไว้ว่าเปรตที่อาศัยอยู่ตาม ภูเขา เช่น ที่ภูเขาคิชฌกูฏ นอกจากจะอดอาหารแล้วยังต้องถูกทรมานเหมือนสัตว์นรกด้วย ต่อไปจะแสดงเปรตประเภทต่าง ๆ ตามพระอรรถกถาและพระคัมภีร์ดังนี้
 
ในอรรถกถาเปตวัตถุ แสดงเปรตไว้ ๔ จำพวก คือ
๑. ปรทัตตุปชีวิกเปรต เปรตที่มีชีวิตอยู่ด้วยการอาศัยส่วนบุญที่เขาอุทิศให้ ถ้าไม่มีผู้อุทิศให้ก็ต้องอดอยากหิวโหยได้รับทุกขเวทนาอยู่เช่นนั้น ปรทัตตุปชีวิกเปรต เป็นเปรตประเภทเดียวเท่านั้นที่สามารถจะรับส่วนกุศลที่มนุษย์แผ่ไปให้ได้ อยู่ใกล้มนุษย์ เนื่องจากเวลาใกล้ตายมีความห่วงใยอาลัยอาวรณ์ในทรัพย์สินเงินทอง ห่วงใยในสามีภรรยา ลูกหลานหรือมิตรสหาย เมื่อตายก็จะอยู่ในบริเวณบ้านเรือนนั้นเอง ส่วนใหญ่เรียกว่าผี ถึงแม้ว่าจะเกิดเป็นเปรตอยู่ในบริเวณนั้น แต่ถ้าไม่รู้ว่ามีผู้อุทิศส่วนกุศลให้ก็ไม่มีโอกาสได้อนุโมทนา เปรตก็จะไม่ได้รับส่วนบุญนั้น แต่บุญที่อุทิศให้แก่ญาติผู้ตายแล้วนั้น หากไม่ถึงหรือไม่สำเร็จ บุญนั้นก็ไม่สูญหายไปไหน คงเป็นบุญที่ติดตัวแก่ผู้อุทิศให้นั้น ซึ่งจะเป็นผลบุญอีกต่อหนึ่งของผู้ทำบุญ ฉะนั้นเมื่อทำบุญกุศลทุกครั้งควรอุทิศส่วนกุศลให้ญาติทั้งหลายของเราทั้งในอดีตชาติและปัจจุบันชาติ เพราะในสังสารวัฏที่ผ่านมานี้อาจมีญาติของเรายังคอยการอุทิศส่วนกุศลจากเราอยู่ สำหรับพระโพธิสัตว์เมื่อได้รับพยากรณ์แล้ว ถ้าจะเกิดเป็นเปรต ก็จะเกิดเป็นเปรตได้ประเภทเดียวเท่านั้น คือ ปรทัตตุปชีวิกเปรต
๒. ขุปปิปาสิกเปรต เป็นเปรตชนิดที่ถูกเบียดเบียนด้วยการหิวข้าวหิวน้ำ ไม่มีเรี่ยวแรงแม้จะลุกขึ้น นอนแซ่วอยู่เหมือนคนป่วยที่ใกล้จะตาย
๓. นิชฌามตัณหิกเปรต เป็นเปรตที่มีตัวตัณหาทำให้หิวข้าวหิวน้ำอยู่เสมอ เนื่องจากเปลวไฟที่ลุกอยู่ในปากนั่นเอง
๔. กาลกัญจิกเปรต เป็นเปรตจำพวกอสุรกาย หรือ อสุรา ลักษณะของอสุรกายประเภทกาลกัญจิกเปรต มีร่างกายสูงสามคาวุต (๑ คาวุต ประมาณ ๔,๐๐๐ เมตร) ไม่มีแรง เพราะมีเลือดและเนื้อน้อย มีสีสันคล้ายกับใบไม้แห้ง ตาถลนออกมาเหมือนกับตาของปู และมีปากเท่ารูเข็มตั้งอยู่กลางศีรษะ เวลาจะกินต้องห้อยหัวลง



จากลักขณสังยุตในนิทานวรรค กล่าวถึงเรื่องเปรตมีใจความสรุปดังนี้
การไปเกิดเป็นเปรตชนิดต่างๆ นั้นเพราะเศษกรรม คำว่า เศษกรรม คือ บาปกรรมที่ยังเหลืออยู่ หมายถึงเศษบาปนั่นเอง คือเมื่อเป็นมนุษย์ทำบาปหยาบช้าไว้ ตายไปเกิดในนรก พ้นจากนรกแล้วยังไม่สิ้นบาปกรรมทั้งหมด จึงต้องไปเป็นเปรตเสวยทุกข์ต่อไปอีก เพราะกรรมที่ยังเหลืออยู่นั้น

ตัวอย่างเรื่องเปรตจากพระไตรปิฏก
  • ท่านพระลักขณะ (พระองค์หนึ่งในชฎิลพันองค์) และท่านพระมหาโมคคัลลานะอยู่บนภูเชาคิชฌกูฏใกล้พระนครราชคฤห์ เวลาเช้าท่านทั้งสองออกบิณฑบาต ขณะที่เดินลงจากภูเขา ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้แย้มพระโอษฐ์ (คืออาการบันเทิงของพระอรหันต์ไม่ถึงยิ้ม) พระลักขณะได้ถามถึงเหตุ ของอาการแย้ม ท่านพระมหาโมคคัลลานะกล่าวว่า ไม่ใช่เวลาถามปัญหา ให้ถามในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้าเถิด เมื่อท่านทั้งสองบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์และทำภัตตกิจเสร็จแล้ว ได้ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ พระเวฬุวัน ท่านพระลักขณะจึงกล่าวถามขึ้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะจึงเล่าว่าได้เห็นร่างสัตว์อย่างหนึ่งลอยไปในอากาศ มีลักษณะอาการตามที่ท่านได้เห็น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสรับรอง และได้ทรงกล่าวถึงบาปที่สัตว์นั้นได้ทำขณะเมื่อเป็นมนุษย์ ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้เห็นบ่อยๆ ขณะที่เดินลงจากเขาคิชฌกูฏ และได้เล่าในที่เฉพาะพระพักตร์ทุกครั้ง การแย้มของพระโมคคัลลานะเพราะท่านดำริว่าท่านเองพ้นแล้วจากอัตภาพเช่นนั้น ต่างจากผู้ที่ยังไม่เห็นสัจจะ ยังมีภพไม่แน่นอน ซึ่งอาจไปเกิดเป็นเปรตเช่นนั้นอีกก็ได้ ท่านจึงบันเทิงใจ (ไม่ใช่ว่าแย้มเพราะเป็นการเย้ยหยัน
  • เปรตตนหนึ่งมีแต่โครงกระดูก ถูกฝูงแร้งกานกตะกรุมรุมเจาะจิก ลอยร้องครวญครางในอากาศ เพราะเศษกรรมที่ฆ่าโค เพราะเคยเป็นคนฆ่าโค ชำแหละเนื้อให้เหลือแต่กระดูกอยู่ในพระนคร ราชคฤห์ 
  • เปรตตนหนึ่งเป็นชิ้นเนื้อ ถูกฝูงแร้งกานกตะกรุมรุมเจาะจิก ลอยร้องครวญครางไปในอากาศ เพราะเศษกรรมที่ฆ่าโค เพราะเคยเป็นคนฆ่าโคชำแหละเนื้ออยู่ในพระนครนั้นเช่นเดียวกัน ที่แตกต่างกันตนหนึ่งเป็นโครงกระดูก ตนหนึ่งเป็นชิ้นเนื้อ เพราะว่านิมิตที่สัตว์นั้นเห็นในเวลาที่ไปเกิดต่างกัน จึงไปเกิดมีรูปลักษณะที่ต่างกัน คือ เมื่อเห็นนิมิตเป็นโครงกระดูกก็ไปเกิด เป็นเปรตโครงกระดูก เห็นนิมิตเป็นชิ้นเนื้อก็ไปเกิดเป็นเปรตชิ้นเนื้อ
  • เปรตตนหนึ่งเป็นก้อนเนื้อ ถูกแร้งกานกตะกรุมรุมเจาะจิก ลอยร้องครวญครางไปในอากาศ เพราะเศษกรรมที่ฆ่านก ในพระนครนั้น 
  • เปรตตนหนึ่งเป็นบุรุษไม่มีผิวหนัง ถูกแร้งกานกตะกรุมรุมเจาะจิก ลอยร้องครวญครางไปในอากาศ เพราะเศษกรรมที่ฆ่าแกะ เพราะเคยเป็นคนฆ่าถลกหนังแกะขายอยู่ในพระนครนั้น 
  • เปรตตนหนึ่งมีขนทั่วสรรพางค์กาย กลายเป็นดาบที่หลุดกระเด็นออกไป แล้วกลับมาทิ่มแทงกายตนเอง ลอยร้องครวญครางไปในอากาศ เพราะเศษกรรมที่ฆ่าสุกร เพราะเคยเป็นคนฆ่าสุกรขายด้วยอาวุธชนิดนั้นอยู่ในพระนครนั้น 
  • เปรตตนหนึ่งเป็นบุรุษ มีขนทั่วสรรพางค์กาย กลายเป็นหอกที่หลุดกระเด็นออกไป แล้วกลับมาทิ่มแทงกาย ลอยร้องครวญครางไปในอากาศ เพราะเศษกรรมที่ฆ่าเนื้อ ด้วยเคยเป็นคนใช้หอกฆ่าเนื้อขาย อยู่ในพระนครนั้น 
  • เปรตตนหนึ่งเป็นบุรุษ มีขนทั่วสรรพางค์กาย กลายเป็นดอกธนูที่หลุดกระเด็นออกไปแล้วกลับมาทิ่มแทงกาย ลอยร้องครวญครางไปในอากาศ เพราะเศษกรรมที่เคยเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่แล้วเบียดเบียนประชาชนด้วยอำนาจของตน มีการทรมานบ้าง ฆ่าบ้าง ยิงให้ตายด้วยธนูอยู่ในพระนครนั้น 
  • เปรตตนหนึ่งเป็นบุรุษ มีขนทั่วสรรพางค์กายกลายเป็นปฏักที่หลุดกระเด็นออกไปแล้วกลับมาทิ่มแทงกาย ลอยร้องครวญครางไปในเวหาส เพราะเศษกรรมที่ฝึกม้าอย่างโหดร้ายทารุณ เคยเป็นคนฝึกม้า ด้วยวิธีโหดร้ายทารุณ ใช้ปฏักแทงม้าถึงพิการหรือตายอยู่ในพระนครนั้น 
  • เปรตตนหนึ่งเป็นบุรุษ มีขนทั่วสรรพางค์กายกลายเป็นเข็มทิ่มเข้าไปในศีรษะออกทางปาก ทิ่มเข้าไปในปากออกทางอก ทิ่มเข้าไปในอกออกทางท้อง ทิ่มเข้าไปในท้องออกทางขา ทิ่มเข้าไปในขาออกทางแข้ง ทิ่มเข้าไปทางแข้งออกทางเท้า ลอยร้องครวญครางไปในอากาศ เพราะเศษกรรมที่มีปากเป็นเข็ม คือ เป็นคนพูดส่อเสียดยุยงให้เขาแตกร้าวกัน เป็นคนที่พูดทิ่มแทงให้เขาเจ็บใจเป็นทุกข์ 
  • เปรตตนหนึ่งเป็นบุรุษมีอวัยวะรหัสโตอย่างหม้อน้ำขนาดใหญ่ ต้องเดินแบกขึ้นคอไป หรือต้องนั่งทับ ถูกฝูงแร้งกานกตะกรุมรุมเจาะจิก ลอยร้องครวญครางไปในอากาศ เพราะเศษกรรมที่ฉ้อโกงชาวบ้าน ชาวเมือง เคยเป็นอมาตย์ฉ้อโกง รับสินบนในลับแล้วสั่งให้วินิจฉัย บิดเบือน ทำให้ชาวบ้านชาวเมืองต้องแบก ภาระเป็นทุกข์อย่างหลีกเลี่ยงฝุาฝืนไม่ได้ เศษกรรมที่รับสินบนในที่ลับ จึงส่งให้อวัยวะ รหัสปรากฏอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ต้องแบกทุกข์ทรมานไป 
  • เปรตตนหนึ่งเป็นบุรุษจมหลุมคูถมิดศีรษะ เพราะเศษกรรมที่เป็นชู้กับภริยาของผู้อื่น ด้วยได้เคยเป็นชายชู้ดังกล่าวอยู่ในพระนครนั้น 
  • เปรตตนหนึ่งเป็นบุรุษจมอยู่ในหลุมคูถ กอบคูถด้วยมือทั้งสองเข้าปากเคี้ยว เพราะเศษกรรมที่เอาคูถใส่บาตรพระ เคยเป็นพราหมณ์ผู้เกลียดและแกล้งพระในพระพุทธศาสนาดั่งกล่าวในพระนครนั้น
  • เปรตตนหนึ่งเป็นสตรีไม่มีหนัง ถูกฝูงแร้งกานกตะกรุมรุมเจาะจิก ลอยร้องครวญครางไปในอากาศ เพราะเศษกรรมที่ประพฤตินอกใจ เคยเป็นสตรีประพฤตินอกใจสามี เป็นชู้กับชายอื่นอยู่ในพระนครนั้น 
  • เปรตตนหนึ่งเป็นสตรีมีกลิ่นเหม็น รูปร่างน่าเกลียด ถูกฝูงแร้งกานกตะกรุมรุมเจาะจิก ลอยร้องครวญครางไปในอากาศ เพราะเศษกรรมที่เป็นแม่มดหลอกลวงคน เคยเป็นผู้หลอกลวงแสดงตน ตัวแทน เป็นสื่อทรงของยักษ์ หรือภูตผีปีศาจ รับบูชาพลีกรรมของคนผู้หลงเชื่ออยู่ในพระนครนั้น
  • เปรตตนหนึ่งเป็นสตรี ถูกไฟไหม้สุกเกรียมดำคล้ำไปทั้งตัวเยิ้มเกรอะกรังไปด้วยน้ำเลือดน้ำหนอง ลอยร้องครวญครางไปในอากาศ เพราะเศษกรรมที่โรยถ่านเพลิงบนศีรษะหญิงอีกคนหนึ่งด้วยแรงริษยา ด้วยสตรีคนนั้นได้เคยเป็นอัครมเหสีของพระราชากลิงคะ มีความริษยาในสตรีร่วมพระสวามีคนหนึ่ง ถึงกับใช้กระทะเหล็กตักถ่านเพลิงโปรยลงบนศีรษะของนางนั้น 
  • เปรตตนหนึ่งไม่มีศีรษะ มีตาและปากอยู่ที่อก ถูกฝูงแร้งกานกตะกรุมรุมเจาะจิก ลอยร้องครวญครางไปในอากาศ เพราะเศษกรรมที่ฆ่าตัดศีรษะคน เคยเป็นเพชฌฆาตชื่อว่า หาริกะ ตัดศีรษะโจรเป็นอันมากอยู่ในพระนครนั้น 
เปรตตนหนึ่งเป็นภิกษุตนหนึ่ง เป็นภิกษุณีตนหนึ่ง เป็นสิกขมานา (สามเณรีผู้จะอุปสมบทเป็นภิกษุณี ต้องรักษาศีลพิเศษอยู่สองปีก่อน ระหว่างนี้เรียกว่าสิกขมานา) ตนหนึ่ง เป็นสามเณรตนหนึ่ง เป็นสามเณรีตนหนึ่ง ทุกคนทรงสังฆาฏิ บาตร ประคต เป็นไฟ ลุกโชน ตลอดทั้งร่างกาย ลอยร้องครวญครางไปในอากาศ เพราะเศษกรรมที่เป็นผู้บวชแล้วทำชั่ว ด้วยได้เคยเป็นภิกษุ ภิกษุณี สิกขมานา สามเณร สามเณรี ผู้ประพฤติไม่ดี บริโภคปัจจัยลาภที่เขาถวายด้วยศรัทธาแล้วไม่สำรวมกายวาจา หาเลี้ยงชีพผิดทางสมณะ คะนองระเริงใจจนถึงวิบัติต่างๆ 

เปรตเหล่านี้เป็นเปรตในพระนครราชคฤห์ ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้เห็นด้วยทิพย์จักษุ มีผู้ไม่เชื่อมาตั้งแต่ในสมัยพุทธกาลแล้วเหมือนกัน ดั่งที่มีกล่าวไว้ในพระวินัยว่า พวกภิกษุเมื่อได้ฟังท่านพระมหาโมคคัลลานะเล่าเรื่องนี้ ก็กล่าวโทษว่าท่านพูดอวดอุตริมนุษยธรรม (คือธรรมที่ยิ่งของมนุษย์ หรือธรรมของมนุษย์ผู้ยิ่ง) พระพุทธเจ้าตรัสว่าสาวกทั้งหลาย ผู้มีดวงตาญาณจักรู้จักเห็นได้ และเพราะว่าพระพุทธองค์เองก็ได้เคยทรงเห็นสัตว์นั้นมาก่อนแล้ว แต่ไม่ได้ทรงพยากรณ์หรือตรัสบอกแก่ใคร เพราะถ้าทรงตรัสบอกไปแล้วถ้าเขาไม่เชื่อคำของพระพุทธองค์ บุคคลนั้นๆ ก็จะมีแต่โทษไม่มีประโยชน์อะไร ครั้นทรงได้พระมหาโมคคัลลานะเป็นพยานจึงทรงพยากรณ์ตรัสกล่าวถึงบุพกรรมของเปรตเหล่านี้ 



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น