แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เนตติปกรณ์ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เนตติปกรณ์ แสดงบทความทั้งหมด

๒. อุทเทสวาระ

เตลกฎาหคาถา ข้อ ๕๕:
ทุกฺขํ อนิจฺจมสุภํ วต อตฺตภาวํ    มา สํกิเลสย น วิชฺชติ ชาตุ นิจฺโจ
อมฺโภ น วิชฺชติ หิ อปฺปมปีห สารํ    สารํ สมาจรถ ธมฺมมลํ ปมาทํ.
“ท่านผู้เจริญ ท่านอย่าทำสรีระที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่งาม ให้เศร้าหมองด้วยกามวิตกเป็นต้นเลย สิ่งคงที่ถาวรย่อมไม่มี แก่นสารแม้เล็กน้อยในสรีระนี้หามีไม่ เชิญท่านทั้งหลายประพฤติธรรมอันมีแก่นสาร ความประมาทย่อมไม่เหมาะสมเลย"

 ❀❀❀ ๒. อุทเทสวาระ 

 (ปริจเฉทแสดงอุเทศ)

👉หาระ ๑๖

ถามว่า : หาระ ๑๖ ประการในเรื่องนั้น คืออะไร
ตอบว่าหาระ ๑๖ ประการ คือ 

  • ๑. เทศนาหาระ คือ แนวทางในการแสดงประกอบด้วย อัสสาทะ อาทีนวะ นิสสรณะ จุดมุ่งหมาย อุบายและการชักชวนฃ
  • ๒. วิจยหาระ คือ แนวทางในการจำแนกบท คำถาม และคำตอบ
  • ๓. ยุตติหาระ คือ แนวทางในการตรวจสอบความเหมาะสมโดยพยัญชนะและอรรถ
  • ๔. ปทัฎฐานหาระ คือ แนวทางในการแสดงปทัฎฐาน (เหตุใกล้) โดยอนุโลมนัยและปฎิโลมนัย
  • ๕. ลักขณหาระ คือ แนวทางในการแสดงธรรมอื่นที่มิได้กล่าวไว้โดยตรง
  • ๖. จตุพยูหหาระ คือ แนวทางในการอธิบายวิธี ๔ กลุ่ม คือ
    - รูปวิเคราะห์
    - ความมุ่งหมายของพระพุทธเจ้าหรือพระสาวก
    - เหตุของการแสดงธรรม
    - การเชื่อมโยงพระสูตร
  • ๗. อาวัฎฎหาระ คือ แนวทางในการเวียนไปสู่ธรรมที่เสมอกันและไม่เสมอกัน
  • ๘. วิภัตติหาระ คือ แนวทางในการจำแนกสภาวะธรรม (เหตุใกล้ , ภูมิ) โดยทั่วไปและไม่ทั่วไป
  • ๙. ปริวัตตนหาระ คือ แนวทางในการเปลี่ยนไปในทางตรงกันข้าม
  • ๑๐. เววจนหาระ คือ แนวทางในการแสดงคำไวพจน์ (คำความหมายเหมือนกัน)
  • ๑๑. ปัญญัตติหาระ คือ แนวทางในการแสดงบัญญัติ
  • ๑๒. โอตรณหาระ คือ แนวทางในการหยั่งลงสู่ขันธ์ อายตนะ ธาตุ อินทรีย์ และปฎิจสมุปบาท
  • ๑๓. โสธนหาระ คือ แนวทางในการตรวจสอบบท อรรถของบท คำถามและคำตอบ
  • ๑๔. อธิฎฐานหาระ คือ แนวทางในการโดยสามัญทั่วไปหรือโดยพิเศษ
  • ๑๕. ปริกขารหาระ คือ แนวทางในการแสดงเหตุปัจจัย
  • ๑๖. สมาโรปนหาระ คือ แนวทางในการยกขึ้นแสดงด้วยเหตุใกล้ คำไวพจน์ การภาวนา และการละกิเลส

คาถาสรุป คือ

เทสนาหาระ วิจยหาระ ยุตติหาระ ปทัฏฐานหาระ ลักขณหาระ จตุพยูหหาระ อาวัฏฏหาระ วิภัตติหาระ ปริวัตนหาระ เววจนหาระ ปัญญัตติหาระ โอตรณหาระ โสธนหาระ อธิฏฐานหาระ ปริกขารหาระ และสมาโรปนหาระ หาระทั้ง ๑๖ ประการนี้ แสดงไว้โดยมีเนื้อความไม่ปะปนกัน อนึ่ง การจำแนกหาระเหล่านั้นอย่างเหมาะสมโดยพิสดารจะปรากฏต่อไป

👉นัย ๕

ถามว่า : นัย ๕ ประการในเรื่องนั้น คืออะไร
ตอบว่า : นัย ๕ ประการ คือ

  • ๑. นันทิยาวัฏฏนัย นัยที่เหมือนการเรียนของดอกกฤษณาที่เวียนจากด้านในไปด้านนอก โดยเวียนจากธรรมฝ่ายหลักไปสู่ธรรมคล้อยตาม กล่าวคือ การประกอบเนื้อความของพระพุทธพจน์ฝ่ายสังกิเลสด้วยตัณหาและอวิชชา โดยจำแนกตามสัจจะ ๔ และการนำเนื้อความของพระพุทธพจน์ฝ่ายโวทานด้วยสมถะและวิปัสสนา โดยจำแนกตามสัจจะ ๔
  • ๒. ติปุกขลนัย นัยที่งามด้วยส่วนทั้ง ๓ คือ โลภะ โทสะ และโมหะในฝ่ายสังกิเลส (ฝ่ายเศร้าหมอง) และงามด้วยอโลภะ อโทสะ และอโมหะในฝ่ายโวทาน (ฝ่ายหมดจด) กล่าวคือ การประกอบเนื้อความของพระพุทธพจน์ฝ่ายเศร้าหมองด้วยอกุศลมูล ๓ อันได้แก่ โลภะ โทสะ และโมหะ โดยจำแนกตามสัจจะ ๔ และการประกอบเนื้อความของพระพุทธพจน์ฝ่ายหมดจดด้วยกุศลมูล อันได้แก่ อโลภะ อโทสะ และอโมหะ โดยจําแนกตามสัจจะ ๔
  • ๓. สีหวิกกีฬิตนัย นัยที่เหมือนการย่างกรายของราชสีห์คือพระผู้มีพระภาค เพราะแสดงวิปัลลาสและอินทรีย์ ๕ ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อวิปัลลาสเหล่านั้น กล่าวคือ การประกอบเนื้อความของพระพุทธพจน์ฝ่ายเศร้าหมองด้วยสุภสัญญาเป็นต้น ๔ โดยจำแนกตามสัจจะ ๔ และการประกอบเนื้อความของพระพุทธพจน์ฝ่ายหมดจดด้วยอสุภสัญญาเป็นต้น ๔ โดยจำแนกตามสัจจะ ๔
  • ๔. ทิสาโลจนนัย นัยที่สอดส่องกุศลธรรมเป็นต้นโดยความเป็นหัวข้อหลักแห่งนัย ๓ อย่างแรก
  • ๕. อังกุสนัย นัยที่เหมือนตาขอซึ่งเกี่ยวธรรมมารวมกันไว้ในนัย ๓ อย่างแรก

คาถาสรุป คือ

นัยแรกที่แสดงข้อความ ชื่อว่า นันทิยาวัฏฏะ นัยที่ ๒ ชื่อว่าติปุกขละ นัยที่ ๓ ชื่อว่า สีหวิกกีฬตะ นัยที่ ๔ อันยอดเยี่ยม ชื่อว่าทิสาโลจนะ นัยที่ ๕ ชื่อว่า อังกุสะ พึงทราบนัยทั้ง ๕ ประการทั้งปวง


👉มูลบท ๑๘

ถามว่า : มูลบท ๑๘ บท ในเรื่องนั้น คืออะไร
ตอบว่า : มูลบท ๑๘ บท คือ มูลบท ๙ ฝ่ายกุศล และมูลบท ๙ ฝ่ายอกุศล

ถามว่า : มูลบทฝ่ายอกุศล ๙ บท คืออะไร
ตอบว่า : มูลบทฝ่ายอกุศล ๙ บท คือ ตัณหา อวิชชา โลภะ โทสะ โมหะ สุภสัญญา (ความสำคัญว่างาม) สุขสัญญา (ความสำคัญว่าสุข) นิจจสัญญา (ความสําคัญว่าเที่ยง) และอัตตสัญญา (ความสำคัญว่าเป็นตัวตน) ธรรมฝ่ายอกุศลทั้งปวงย่อมถึงการประมวลรวมไว้ในมูลบท ๙ บทใดบทหนึ่ง (มูลบท คือ บทเดิม หมายถึง บทที่จะนำมาจำแนกเป็นนัยต่างๆ และสาสนปัฏฐานคือสูตรแสดงคำสอน ที่จะกล่าวถึงต่อไป บทเต็มเหล่านี้ คือ ธรรมฝ่ายกุศล หรือธรรมฝ่ายอกุศล ซึ่งแบ่งออกเป็นอย่างละ ๙ อย่าง ดังนั้น ก่อนจะจำแนกเป็นนัยทั้ง ๕ และสาสนปัฏฐาน จึงควรสังเกตก่อนว่ามูลบทคืออะไร แล้วจึงจําแนกไปตามสมควรในฝ่ายกุศลหรือฝ่ายอกุศล

ข้อควรรู้ :
ตัณหาและโลภะ โดยองค์ธรรมคือ โลภเจตสิก แม้อวิชชาและโมหะ โดยองค์ธรรมก็คือโมหเจตสิก แต่ในที่นี้ท่านกล่าวแยกกันตามชื่อที่ปรากฏในพระสูตร

ถามว่า : มูลบทฝ่ายกุศล ๙ บท คืออะไร
ตอบว่า : มูลบทฝ่ายกุศล ๙ บท คือ สมถะ วิปัสสนา อโลภะ อโทสะ อโมหะ อสุภสัญญา (ความสําคัญว่าไม่งาม) ทุกขสัญญา (ความสําคัญว่าทุกข์) อนิจจสัญญา (ความสำคัญว่าไม่เที่ยง) และอนัตตสัญญา (ความสำคัญว่าไม่ใช่ตัวตน) ธรรมฝ่ายกุศลทั้งปวงย่อมถึงการประมวลรวมไว้ในมูลบท ๙ บทใดบทหนึ่ง

ข้อควรรู้ :
อสุภสัญญาเป็นต้น ๔ ประการ โดยองค์ธรรม คือ สติปัฏฐาน ๔ มีกายานุปัสสนาเป็นต้น 
ในที่นี้ท่านแสดงไว้โดยมีสัญญาเป็นหลัก แต่มุ่งให้หมายถึงสติที่ประกอบร่วมกับสัญญา

ธรรมฝ่ายกุศลจําแนกออกเป็น ๔ กลุ่ม และเป็นปฏิปักษ์ต่อธรรมฝ่ายอกุศลเป็นคู่ๆ กัน คือ

๑. สมถะ    การอบรมจิตเพื่อให้เกิดสมาธิเป็นปฏิปักษ์ต่อ    ตัณหา
๒. วิปัสสนา    การอบรมจิตเพื่อให้เกิดปัญญาเป็นปฏิปักษ์ต่อ    อวิชชา
๓. กุศลเหตุ ๓    อโลภเหตุ อโทสเหตุ และอโมหเหตุเป็นปฏิปักษ์ต่อ    โลภเหตุ โทสเหตุ และโมหเหตุ
๔. สัญญา ๔    อสุภสัญญา เป็นต้น เป็นปฏิปักษ์ต่อสัญญาวิปัลลาสมี    สุภสัญญา เป็นต้น

ในอุเทศของมูลบท ๑๘ ท่านแสดงมูลบท ๙ ฝ่ายกุศล และมูลบท ๙ ฝ่ายอกุศล แต่ในการจําแนกมูลบทดังกล่าวได้อธิบายมูลบทฝ่ายอกุศลไว้ก่อน การใช้คำในลักษณะนี้เป็นสำนวนทางภาษาที่เรียกว่า ปัจจาสัตตินัย คือ นัยที่กล่าวถึงสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวก่อน ซึ่งในที่นี้เป็นการใกล้กับประโยคหลังที่จะกล่าวต่อไป ส่วนการแสดงตามลำดับ นิยมใช้โดยทั่วไปเรียกว่า ยถากกมนัย คือ นัยกล่าวตามลำดับ

คาถาสรุป

ต่อไปนี้เป็นอุเทศในมูลบทนั้นว่า
    บท (ฝ่ายอกุศล) ๙ คือ ตัณหา อวิชชา โลภะ โทสะ โมหะ และ วิปัลลาส ๔ (สุภสัญญา สุขสัญญา นิจจสัญญา อัตตสัญญา] เป็นอารมณ์ของกิเลส (เพราะเป็นที่ประชุมแห่งอกุศลธรรมทั้งปวง)
    บท (ฝ่ายกุศล) ๙ คือ สมถะ วิปัสสนา กุศลมูล ๓ (อโลภะ อโทสะ อโมหะ) และสติปัฏฐาน ๔ (อสุภสัญญา ทุกขสัญญา อนิจจสัญญา และอนัตตสัญญา) เป็นอารมณ์ของอินทรีย์มีศรัทธาเป็นต้น (เพราะเป็นที่ประชุมแห่งอินทรีย์)

ธรรมฝ่ายกุศลประกอบร่วมกับมูลบท ๙ และฝ่ายอกุศลก็ประกอบร่วมกับมูลบท ๙ นี้แลชื่อว่ามูลบท ๑๘

ข้อควรรู้ :
ธรรมฝ่ายกุศล ๙ ประการมีสมถะเป็นต้นเป็นอารมณ์ของอินทรีย์ กล่าวคือ ผู้ที่จะอบรมอินทรีย์ ๕ ให้แก่กล้าต้องอาศัยธรรมฝ่ายกุศลเหล่านั้น นอกจากนี้ เมื่อต้องการจะอธิบายข้อความที่เกี่ยวกับอินทรีย์ก็ต้องอธิบายโดยมีธรรมเหล่านั้นเป็นหลัก ส่วนธรรมฝ่ายอกุศลพึงทราบโดยนัยตรง
กันข้าม

คำว่า อุททาน เป็นคำไวพจน์ของ สงฺคหวจนคำสรุป แปลตามศัพท์ว่า คำรักษาข้อความที่กล่าวมาแล้ว มาจาก อุ บทหน้า = เบื้องบน, คำที่กล่าวมาแล้ว + ทา ธาตุ = รักษา + ยุ ปัจจัยในกรณสาธนะ มีรูปวิเคราะห์ว่า อุทฺธํ ทานํ รกฺขณํ อุทฺทานํ (อุททานะ คือ คำรักษาในเบื้องบน)

อุทฺเทสวาโร
จบ อุทเทสวาระ

๑. สังคหวาระ

สังคหวาระ (ปริจเฉทย่อความ)

👉 กลุ่มศัพท์และกลุ่มอรรถ ๑๒

ทฺวาทส ปทานิ สุตฺตํ     ตํ สพฺพํ พฺยญฺชนญฺจ อตฺโถ จ
ตํ วิญฺเญยฺยํ อุภยํ     โก อตฺโถ พฺยญฺชนํ กตมํ.
“พระพุทธพจน์เป็นกลุ่ม[ศัพท์และอรรถ] ๑๒ ประการ ทั้งหมดนั้นเป็นศัพท์และอรรถ บัณฑิตพึงเข้าใจทั้งสองประการนั้นว่าอรรถเป็นอย่างไร ศัพท์เป็นอย่างไร”

คำว่า ปทานิ แปลว่า “กลุ่ม” หมายถึง กลุ่มศัพท์ (พยัญชนบท) ๖ ประการ และกลุ่มอรรถ (อรรถบท) ๖ ประการ ท่านจะแสดงเรื่องนี้ในข้อต่อไป

คําว่า สุตฺตํ โดยทั่วไปหมายถึงพระสูตร แต่ในที่นี้หมายถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหมด ในฉบับนี้จึงแปลว่า “พระพุทธพจน์" ตามคำอธิบายในคัมภีร์อรรถกถาว่า พุทฺธวจนํ (พระพุทธพจน์)

 👉❁ หาระ ๑๖ นัย ๕ มูลบท ๑๘

โสฬสหารา เนตฺตี     ปญฺจนยา สาสนสฺส ปริเยฏฺฐิ
อฏฺฐารสมูลปทา     มหกจฺจาเนน นิทฺทิฏฺฐา.
"แบบแผนที่ใช้อธิบายความหมายของพระพุทธพจน์ มีหาระ ๑๖ นัย ๕ และมูลบท ๑๘ อันพระมหากัจจายนะแสดงไว้แล้ว"


เนตติอันเป็นแบบแผนในการอธิบายพระพุทธพจน์นั้น ประกอบด้วยหลักสำคัญ ๓ ประการ ดังนี้ คือ
  • ๑. หาระ แนวทางอธิบายรูปศัพท์ในพระพุทธพจน์ มี ๑๖ ประเภท
  • ๒. นัย วิธี คือ หลักการอธิบายสภาวธรรมที่เป็นความหมายในพระพุทธพจน์ มี ๕ ประเภท
  • ๓. มูลบท บทเดิม มี ๑๘ ประเภท

หาระเป็นต้นเหล่านี้จะนำไปสู่ความเข้าใจพระพุทธพจน์ที่ลุ่มลึกด้วยอรรถและพยัญชนะอย่างถูกต้อง

    คำว่า เนตฺติ แปลว่า "คัมภีร์แนะแนว" คือ แนวเข้าใจพระพุทธพจน์นั่นเอง มีเนื้อความตามรูปศัพท์ ๓ ประการ คือ

  • ๑. คัมภีร์นำเวไนยชนไปสู่อริยธรรม = เวเนยฺยสตฺเต อริยธมฺมํ นยตีติ เนตฺติ (ลง ติ ปัจจัย ในกัตตุสาธนะ)
  • ๒. คัมภีร์ที่ใช้นำเวไนยชนไปสู่ทางแห่งโสดาปัตติมรรค = ทสฺสนมคฺคํ นยนฺติ ตายาติ เนตฺติ (ลง ติ ปัจจัยในกรณสาธนะ)
  • ๓. คัมภีร์ที่เป็นฐานะนำเวไนยชนไปสู่พระนิพพาน = นียนฺติ เอตฺถ เวเนยฺยา นิพฺพานํ สมฺปาปิยนฺตีติ เนตฺติ (ลง ติ ปัจจัยในอธิกรณสาธนะ)

คัมภีร์เนตติ อรรถกถากล่าวว่า คาถานี้เป็นคำกล่าวของพระธรรมสังคาหกาจารย์ผู้สังคายนาพระธรรมวินัย เพราะท่านผู้แต่งย่อมจะไม่เรียกตนเองว่า "พระมหากัจจายนะ" อย่างไรก็ตาม ฎีกาของเนตติปกรณ์ซึ่งแต่งโดยพระธรรมบาลเถระ (Dhammapāla Thera) ผู้แต่งอรรถกถาของคัมภีร์นี้ได้กล่าวว่า ข้อความข้างต้นเป็นมติของอาจารย์บางคน ไม่ใช่มติที่อาจารย์ทั้งหลายยอมรับเป็นเอกฉันท์ เพราะอาจารย์ทั้งหลายเชื่อกันว่าคาถานี้เป็นภาษิตของพระมหากัจจายนะจริงๆ ตามนัยนี้ข้อความในเนตติปกรณ์จัดเป็นภาษิตของพระมหากัจจายนะทั้งสิ้น แม้พระพุทธเจ้าก็มักตรัสพระธรรมเทศนาในทำนองนี้ว่า ทสพลสมนฺนาคโต ภิกฺขเว ตถาคโต จตูหิ จ เวสารชฺเชหิ สมนฺนาคโต อาสภํ ฐานํ ปฏิชานาติ, ปริสาสุ สีหนาทํ นทติ. "ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตถาคตเป็นผู้เพียบพร้อมด้วยกำลัง ๑๐ และเวสารัชชญาณ ๔ ย่อมปฏิญาณฐานะอันอาจหาญ บันลือสีหนาทในบริษัททั้งหลาย" อนึ่ง คาถามาตราพฤตินี้ได้รับความนิยมตั้งแต่สมัยพุทธกาลเป็นต้นมา ดังจะเห็นได้ว่าพระอัสสชิเถระได้แสดงธรรมโดยสังเขปแก่ปริพาชกชื่ออุปติสสะ ด้วยคาถามาตราพฤติว่า

เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา     เตสํ เหตุํ ตถาคโต อาห
เตสญฺจ โย นิโรโธ     เอวํวาที มหาสมโณ.
"ธรรมเหล่าใด มีเหตุเป็นแดนเกิด พระตถาคตตรัสเหตุของธรรมเหล่านั้นและตรัสความดับไปของธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณะทรงมีวาทะเช่นนี้"

    คำว่า เนตฺตี มีการทีฆะ อิ เป็น อี เพื่อรักษาคณะฉันท์ เพราะควรใช้เป็นเอกพจน์ และวิเสสนะคือ ปริเยฎฺฺฐิ ก็เป็นเอกพจน์ตรงกัน

    คำว่า มหกจฺจาเนน มีศัพท์เดิมว่า มหากจฺจาเนน รัสสะ อา ใน หา เป็น อ เพื่อรักษาฉันท์

    คำว่า กจฺจาน เป็นค่าไวพจน์ของ กจฺจายน ต่างกันที่ค่านี้ลง ฌาน ปัจจัย ส่วน กจฺจายน ลง ณายน ปัจจัย


👉❁ หาระและนัยแสดงพระพุทธพจน์ตามสมควร

หารา พฺยญฺชนวิจโย     สุตฺตสฺส นยา ตโย จ สุตตตฺโถ
อุภยํ ปริคฺคหีตํ     วุจฺจติ สุตฺตํ ยถาสุตฺตํ
"หาระเป็นคำอธิบายรูปศัพท์ของพระพุทธพจน์ ส่วนนัย ๓ ประการ เป็นความหมายของพระพุทธพจน์ ทั้งสองอย่างนั้นเมื่อประกอบไว้ย่อมแสดงพระพุทธพจน์ตามสมควร"

    คำว่า "ทั้งสองอย่างนั้นเมื่อประกอบไว้ย่อมแสดงพระพุทธพจน์ตามสมควร" หมายความว่า พระพุทธพจน์แต่ละแห่งมีความหมายต่างกัน การนำหลักของเนตติปกรณ์ไปอธิบายความก็ต้องคำนึงถึงความเหมาะสมตามฐานะที่สมคว ในบางแห่งอาจใช้หลักของเนคติปกรณ์อธิบายรูปศัพท์ บางแห่งก็ใช้อธิบายความหมาย ตามสมควรแก่พระพุทธพจน์นั้นๆ

    คำว่า หาร แปลว่า "แนวทาง" หมายถึง แนวทางอธิบายรูปศัพท์ในพระพุทธพจน์ คำอธิบายรูปศัพท์นี้สามารถใช้อธิบายเนื้อความของรูปศัพท์ด้วย เพราะเนื้อความปรากฏอยู่ในรูปศัพท์ มีความหมาย ๑๐ ประการ คือ

  • ๑. แนวทางที่ใช้ขจัดความไม่รู้ ความสงสัย และวิปัลลาส = หรียนฺติ เอเตหิ สุตฺตเคยฺยาทิวิสยา อญฺญาณสํสยวิปลฺลาสาติ หารา (หร ธาตุ = ขจัด + ณ ปัจจัยในกรณสาธนะ)
  • ๒. แนวทางที่เป็นฐานะขจัดความไม่รู้ ความสงสัย และวิปัสสาส = หรียนฺติ เอตฺถ สุตฺตเคยฺยาทิวิสยา อญฺญาณสํสยวิปลฺลาสาติ หารา (หร ธาตุ = ขจัด + ณ ปัจจัยในอธิกรณสาธนะ)
  • ๓. แนวทางที่ขจัดความไม่รู้ ความสงสัย และวิปัลลาส - หรนฺติ สุตฺตเคยฺยาทิวิสยา อญฺญาณสํสยวิปลฺลาสาติ หารา (หร ธาตุ = ขจัด + ณ ปัจจัยในกัตตุสาธนะ)
  • ๔. การขจัดความไม่รู้ ความสงสัย และวิปัลลาส - หรณํ สุตฺตเคยฺยาทิวิสยา อญฺญาณสํสยวิปลฺลาสาติ หารา (หร ธาตุ = ขจัด + ณ ปัจจัยในภาวสาธนะ)
  • ๕. แนวทางที่ผู้แสดงธรรมและผู้ฟังธรรมพึงกล่าว - หรียนฺติ โวหรียนฺติ ธมุมสํวณฺณกธมฺมปฏิคคาหเกหีดิ หารา (หร ธาตุ = กล่าว + ณ ปัจจัยในกรรมสาธนะ)
  • ๖. แนวทางที่เหมือนสร้อยมุก (โดยดับกิเลสอันเร่าร้อนเหมือนสร้อยมุกที่ดับความเร่าร้อนทางสรีระและทำให้เกิดความเย็นสบาย) = หารา วิยาติ หารา (หาร ศัพท์ + ณ ปัจจัยในอุปปมาตัทธิต)
  • ๗. แนวทางที่ยังความไม่รู้เป็นต้นให้อันตรธานไป = หารยนฺติ อญฺญาณาทีนนฺติ หารา (หร ธาตุ = อันตรธาน + เณ การิตปัจจัย + ณ ปัจจัยในเหตุกัตตุสาธนะ)
  • ๘. แนวทางที่อธิบายเนื้อความ = หรนฺติ อาจิกฺขนฺตีติ หารา (หร ธาตุ = กล่าว + ณ ปัจจัย ในกัตตุสาธนะ)
  • ๙. แนวทางที่จูงใจผู้ฟัง = โสตุชนจิตฺตํ หรนฺตีติ หารา (หร ธาตุ = นำไป + ณ ปัจจัยในกัตตุสาธนะ)
  • ๑๐. แนวทางที่ทำให้ผู้ฟังเพลิดเพลิน = โสตุชนจิตฺตํ รเมนฺตีติ หารา (รมุ ธาตุ = เพลิดเพลิน+ เณ การิตปัจจัย + ณ ปัจจัยในเหตุกัตตุสาธนะ) เมื่อมีรูปเป็น รามา ให้แปลง ร เป็น ห และแปลง ม เป็น ร จึงสำเร็จรูปเป็น หารา ด้วยนิรุตตินัย คือ นัยที่แสดงวิธีประกอบรูปศัพท์โดยไม่ใช้สูตรในคัมภีร์ไวยากรณ์เป็นช้อบังคับ

    คำว่า นย แปลว่า "นัย, วิธี คือ หลักวิธีในการอธิบายสภาวธรรมที่สำคัญในพระพุทธพจน์ อันมีอวิชชาเป็นต้นที่เป็นมูลบท โดยจำแนกตามหลักอริยสัจ ๔ ตามสมควร มีเนื้อความตามศัพท์ ๘ ประการ คือ

  • ๑. วิธีแสดงความเศร้าหมองและความหมดจด - นยนฺติ สํกิเลเส โวทานานิ จ วิภาคโต ญาเปนฺตีติ นยา (นี ธาตุ = นำไป, แสดง + อ ปัจจัยในกัตตุสาธนะ)
  • ๒. วิธีที่ใช้แสดงความเศร้าหมองและความหมดจด - นยนฺติ ตานิ เอเตหีติ นยา (นี ธาตุ = นำไป, แสดง + อ ปัจจัยในกรณสาธนะ)
  • ๓. วิธีที่เป็นฐานะแสดงความเศร้าหมองและความหมดจด - นยนฺติ ตานิ เอตฺถาติ นยา (นี ธาตุ = นำไป, แสดง + อ ปัจจัยในอธิกรณสาธนะ)
  • ๔. การแสดงความเศร้าหมองและความหมดจด - นยนฺติ นยา (นี ธาตุ = นำไป, แสดง + อ ปัจจัยในภาวสาธนะ)
  • ๕. วิธีที่ผู้แสดงธรรมนำมาแสดง = นียนฺติ สยํ ธมฺมกถิเกหีติ นยา (นี ธาตุ = นำไป, แสดง + อ ปัจจัยในกรรมสาธนะ)
  • ๖. วิธีที่เหมือนเอกัตตนัย (นัยที่เข้าใจว่าเป็นสิ่งเดียวกันด้วยความสืบต่อ) เป็นต้น = นยา วิยาติ นยา (นย ศัพท์ + อ ปัจจัยในอุปมาตัทธิต)
  • ๗. วิธีที่แสดงเนื้อความของปริยัติธรรม = ปริยตฺติอตฺถสฺส เนนฺตีติ นยา (นี ธาตุ = นำไป, แสดง + อ ปัจจัยในกัตตุสาธนะ)
  • ๘.วิธีที่เว้นจากความเศร้าหมอง = สํกิเลสโต ยมนฺตีติ นยา (ยมุ ธาตุ = เว้น + อ ปัจจัยในกัตตุสาธนะ) เมื่อมีรูปเป็น ยมา ให้แปลง ม เป็น น และสลับเสียง จึงสำเร็จรูปเป็น นยา ด้วยนิรุตตินัย

    คำว่า วุจฺจติ คัมภีร์อรรถกถาอธิบายเป็น กัตตุวาจกว่า วทติ สํวณฺเณติ (ย่อมกล่าว คือ ย่อมอธิบาย) ท่านแสดงว่า วุจฺจติ เป็นกรรมกัตตา คือ กัตตาที่มีรูปเป็นกรรมวาจก ดังคำว่า สยเมว กโฎกรียเต ("เสื่อย่อมกระทำเอง" , สยเมว ปานียํ ปียเต (น้ำย่อมดื่มเอง) การประกอบกรรมกัตตานี้มีประโยชน์เพื่อแสดงว่า ผู้ที่เข้าใจหาระและนัยเป็นอย่างดีย่อมจะสามารถอธิบายพระพุทธพจน์ได้โดยง่าย ดังคัมภีร์เนติฎีกาอธิบายว่า

เอเตน หารนเยสุ วสีภาเวน สุตฺตสํวณฺณนาย สุกรตํ ทสฺเสติ.
"คำนั้นแสดงว่าการอธิบายสูตรเป็นของง่ายด้วยความเป็นผู้ช่ำชองในหาระและนัย"

คำปฏิญญา

ยา เจว เทสนา ยญฺจ     เทสิตํ อุภยเมว วิญฺเญยฺยํ
ตตฺรายมานุปุพฺพี     นววิธสุตฺตนฺตปริเยฏฺฐีติ.
"ศัพท์และความหมายทั้งสองประการ บัณฑิตพึงเรียนรู้โดยแท้ ต่อไปนี้เป็นการอธิบายนวังคสัตถุสาสน์ในเรื่องนั้นตามลำดับ"

(คำว่า เทสนา คือ ศัพท์ สำเร็จรูปมาจาก ทิสี (อุจฺจารเณ = กล่าว) + ยุ ปัจจัยในกรณสาธนะ มีรูปวิเคราะห์ว่า เทสียเต เอเตนาติ เทสนา ส่วนคำว่า เทสิต คือ ความหมาย ลง ต ปัจจัยในกรรมสาธนะ (มีรูปวิเคราะห์ว่า เทสียเตติ เทสิตํ) เพราะศัพท์เป็นเครื่องแสดงความหมาย และความหมายเป็นผลที่ถูกศัพท์แสดงให้รู้ ดังข้อความกล่าวว่า

สทฺโท ญาปกเหตุ. อตฺโถ ญาเปตพฺพผลํ.
"ศัพท์เป็นเหตุแสดงให้รู้ ความหมายเป็นผลที่ถูกแสดงให้รู้"

ด้วยเหตุนี้ คัมภีร์อรรถกถาจึงอธิบาย เทสนา ว่า ปาโฐ (ศัพท์) และอธิบาย เทสิตํ ว่า ตทตฺโถ (ความหมายของศัพท์นั้น

สงฺคหวาโร
จบ สังคหวาระ

๒. อุเทสวาระ

[ ๑ ] ในคาถาว่า “โสฬสหารา (หาระ ๑๖)” เป็นต้นนั้น หาระ ๑๖ เป็นไฉน ? คือ เทสนาหาระ, วิจยหาระ, ยุตติหาระ, ปทัฏฐานหาระ, ลักขณหาระ, จตุพยูหหาระ, อาวัฏฏหาระ, วิภัตติหาระ, ปริวัตตนหาระ, เววจนหาระ, ปัญญัตติหาระ, โอตรณหาระ, โสธนหาระ, อธิฏฐานหาระ, ปริกขารหาระ และ สมาโรปนหาระ

       คาถาที่กล่าวตามอุทเทสแห่งหาระนั้น (สำหรับจดจำหาระ ๑๖)

หาระ มี ๑๖ คือ เทสนาหาระ, วิจยหาระ, ยุตติหาระ, ปทัฏฐานหาระ, ลักขณหาระ, จตุพยูหหาระ, อาวัฏฏหาระ, วิภัตติหาระ, ปริวัตตนหาระ, เววจนหาระ, ปัญญัตติหาระ, โอตรณหาระ, โสธนหาระ, อธิฏฐานหาระ, ปริกขารหาระ และ สมาโรปนหาระ

หาระ ๑๖ ที่ข้าพเจ้าแสดงนั้นไม่มีการปะปนระคนกัน โดยเนื้อความ. การจำแนกโดยนัยอันสมควรจะมีโดยพิสดาร (ต่อไป)

[ ๒ ] ในคาถาว่า “โสฬสหารา (หาระ ๑๖)” เป็นต้นนั้น นัย ๕ เป็นไฉน ? คือ นันทิยาวัฏฏนัย, ติปุกขลนัย, สีหวิกกีฬิตนัย, ทิสาโลจนนัย, และ อังกุสนัย.

       คาถาที่กล่าวตามอุทเทสแห่งนัยนั้น (สำหรับจดจำนัย ๕)

พึงทราบว่านัยทั้งปวงมี ๕ ดังนี้ คือ นัยที่ ๑ ชื่อว่า นันทิยาวัฏฏะ, นัยที่ ๒ ชื่อว่า ติปุกขละ, นัยที่ ๓ อันสามารถนำมาซึ่งอรรถแห่งพระบาลี ชื่อว่า สีหวิกกีฬิตะ, ท่านกล่าวนัยที่ ๔ อันประเสริฐว่า ทิสาโลจนะ, นัยที่ ๕ ชื่อว่า อังกุสะ

[ ๓ ] ในคาถาว่า “โสฬสหารา (หาระ ๑๖)” เป็นต้นนั้น มูลบท ๑๘ เป็นไฉน ? คือ กุศลบท ๙ และอกุศลบท ๙.

       ในบรรดากุศลบทและอกุศลบทเหล่านั้น อกุศลบท ๙ เป็นไฉน ? คือ ตัณหา, อวิชชา, โลภะ, โทสะ, โมหะ, สุภสัญญา, สุขสัญญา, นิจจสัญญา, และ อัตตสัญญา. ธรรมที่เป็นฝ่ายอกุศลทั้งหมดย่อมถึงการรวมเข้าในอกุศลบทเหล่านี้.

ในบรรดากุศลบทและอกุศลบทเหล่านั้น กุศลบท ๙ เป็นไฉน ? คือ สมถะ, วิปัสสนา, อโลภะ, อโทสะ, อโมหะ, อสุภสัญญา, อสุขสัญญา, อนิจจสัญญา, และ ออัตตสัญญา. ธรรมที่เป็นฝ่ายกุศลทั้งหมดย่อมถึงการรวมเข้าในกุศลบทเหล่านี้.

       ๙ บทเหล่านี้ คือ ตัณหา, อวิชชา, โลภะ, โทสะ, โมหะ และ วิปัลลาส ๔ (สุภสัญญา, สุขสัญญา, นิจจสัญญา, อัตตสัญญา) เป็นอินทรียภูมิ.

       ๙ บทเหล่านี้ คือ สมถะ, วิปัสสนา, กุศลมูล 3 (อโลภะ, อโทสะ, อโมหะ) และสติปัฏฐาน ๔ (อสุภสัญญา, อสุขสัญญา, อนิจจสัญญา, อนัตตสัญญา) เป็นอินทรียภูมิ.

สมถะเป็นต้นที่เป็นฝ่ายกุศล ข้าพเจ้าพรรณนาประกอบด้วย ๙ บท และตัณหาเป็นต้นที่เป็นฝ่ายอกุศล ข้าพเจ้าพรรณนาประกอบด้วย ๙ บท. ๑๘ บทเหล่านี้แลชื่อว่า มูลบท.

อุทเทสวาระ จบ 


ขยายความโดย พระอาจารย์ สมบัติ นันทิโก

อุเทสวาระ  คือหัวข้อของเนื้อหา หรือเป็นมาติกาที่จะนำไปขยาย

ในอุเทสวาระให้เอาหาระ ๑๖ นัย ๕ มูลบท ๑๘ มามาบอกว่าหาระ ๑๖ คืออะไร, นัย ๕ คืออะไร, มูลบท ๑๘ ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง อันนี้ไม่แปลให้เพราะต้องท่องอย่างเดียว แต่ในนิทเทศวาระจะบอกอีกครั้งนึงอันนี้คือถ้าไปแปลเฉย ๆ แปลแบบธรรมดา ๆ โดยที่ไม่รู้อรรถะมันแปลแล้วไม่ได้ประโยชน์สักเท่าไหร่ แต่ในอรรถกถาท่านก็แปลให้อะนะ แต่ของอาตมาแปลไม่ได้ ก็เป็นภาษาบาลีทั้งหมดเลย เราจะค่อยไปทําความเข้าใจต่อเมื่อเรียนนิทเทศวาระ

สรุปว่าหาระ ๑๖ ก็ควรจำ เทศนา วิจโย ยุตฺติ ปทฎฺฐาโน ลกฺขโณ จตุพยูโห อาวฎโฎ วิภตฺติ ปริวตฺตโน เนี่ยนะท่องเป็นภาษาบาลีก็อาจจะคุ้นหน่อย ใครถนัดภาษาไทยก็เอา

หาระ ๑๖ ประกอบด้วย

๑. เทศนาหาระ คือ แนวทางในการแสดงประกอบด้วย อัสสาทะ อาทีนวะ นิสสรณะ จุดมุ่งหมาย อุบายและการชักชวน
๒. วิจยหาระ คือ แนวทางในการจำแนกบท คำถาม และคำตอบ
๓. ยุตติหาระ คือ แนวทางในการตรวจสอบความเหมาะสมโดยพยัญชนะและอรรถ
๔. ปทัฎฐานหาระ คือ แนวทางในการแสดงปทัฎฐาน (เหตุใกล้) โดยอนุโลมนัยและปฎิโลมนัย
๕. ลักขณหาระ คือ แนวทางในการแสดงธรรมอื่นที่มิได้กล่าวไว้โดยตรง
๖. จตุพยูหหาระ คือ แนวทางในการอธิบายวิธี ๔ กลุ่ม คือ
    - รูปวิเคราะห์
    - ความมุ่งหมายของพระพุทธเจ้า, พระสาวก
    - เหตุของการแสดงธรรม
    - การเชื่อมโยงพระสูตร
๗. อาวัฎฎหาระ คือ แนวทางในการเวียนไปสู่ธรรมที่เสมอกันและไม่เสมอกัน
๘. วิภัตติหาระ คือ แนวทางในการจำแนกสภาวะธรรม (เหตุใกล้ , ภูมิ) โดยทั่วไปและไม่ทั่วไป
๙. ปริวัตตนหาระ คือ แนวทางในการเปลี่ยนไปในทางตรงกันข้าม
๑๐. เววจนหาระ คือ แนวทางในการแสดงคำไวพจน์ (คำความหมายเหมือนกัน)
๑๑. ปัญญัตติหาระ คือ แนวทางในการแสดงบัญญัติ
๑๒. โอตรณหาระ คือ แนวทางในการหยั่งลงสู่ขันธ์ อายตนะ ธาตุ อินทรีย์ และปฎิจสมุปบาท
๑๓. โสธนหาระ คือ แนวทางในการตรวจสอบบท อรรถของบท คำถามและคำตอบ
๑๔. อธิฎฐานหาระ คือ แนวทางในการโดยสามัญทั่วไปหรือโดยพิเศษ
๑๕. ปริกขารหาระ คือ แนวทางในการแสดงเหตุปัจจัย
๑๖. สมาโรปนหาระ คือ แนวทางในการยกขึ้นแสดงด้วยเหตุใกล้ คำไวพจน์ การภาวนา และการละกิเลส

หาระ ๑๖ ที่ข้าพเจ้าแสดงนั้นไม่มีการปะปนระคนกัน โดยเนื้อความ การจำแนกโดยนัยอันสมควรจะมีโดยพิสดาร (ต่อไป) อันนี้ให้เข้าใจหัวข้อเฉย ๆ ถ้าเป็นหนังสือสมัยนี้เราก็เรียกว่าสารบัญ ตรงนี้นะคือในภาษาบาลีเขาไม่ได้พิมพ์แบบเราที่จะบอกสารบัญอยู่ในหน้านี้ บทนี้ เพราะฉะนั้นอุเทสวาระก็คือสารบัญนั่นเอง ส่วนสังคหวาระก็คือคํานํา อุเทสวาระคือสารบัญหรือเรียกอีกชื่อหนึ่งจะเรียกว่า "มาติกา" ก็ได้ หัวข้อหรือแม่บท ในพระไตรปิฎกเนี่ยเค้าจะไม่อยู่ๆ แล้วแสดงอธิบายไปโดยที่ไม่มีแม่บท จะต้องวางหัวข้อไว้ก่อนหรือเรียกว่าแม่บทแล้วจะขยายไปตามแม่บท พอจบแล้วขึ้นหัวข้อใหม่แล้วขยายไปตามนั้นอันนี้คือลักษณะพระไตรปิฎกเป็นแบบนั้น

นัย ๕  ก็คือ
๑. นันทิยาวัฏฏนัย คือนัยที่เหมือนการเวียนของดอกกฤษณาที่เวียนจากด้านในไปด้านนอก โดยเวียนจากธรรมฝ่ายหลักไปสู่ธรรมคล้อยตาม กล่าวคือ การประกอบเนื้อความของพระพุทธพจน์ฝ่ายสังกิเลสด้วยตัณหาและอวิชชาโดยจำแนกตามสัจจะ ๔ และการนำเนื้อความของพระพุทธพจน์ฝ่ายโวทานด้วยสมถะและวิปัสสนา โดยจำแนกตามสัจจะ ๔
๒. ติปุกขลนัย คือนัยที่งามด้วยส่วนทั้ง ๓ ได้แก่ โลภะ โทสะ โมหะ ในฝ่ายสังกิเลส (ฝ่ายเศร้าหมอง) และงามด้วยอโลภะ อโทสะ อโมหะ ในฝ่ายโวทาน (ฝ่ายหมดจด) กล่าวคือการประกอบเนื้อความของพุทธพจน์ฝ่ายสังกิเลสด้วยอกุศลมูล ๓ อันได้แก่ โลภะ โทสะ และโมหะโดยจำแนกตามสัจจะ ๔ และประกอบเนื้อความพุทธพจน์ของฝ่ายโวทานด้วยกุศลมูล ๓ อันได้แก่ อโลภะ อโทสะ และอโมหะ โดยจำแนกตามสัจจะ ๔
๓. สีหวิกกีฬิตนัย คือนัยที่เหมือนการย่างกายของราชสีห์คือพระผู้มีพระภาคเพราะแสดงวิปัลลาสและอินทรีย์ ๕ ที่เป็นปฎิปักษ์ต่อวิปัลลาสเหล่านั้น กล่าวคือ การประกอบเนื้อความของพุทธพจน์ฝ่ายสังกิเลสด้วยสุภสัญญาเป็นต้น โดยจำแนกตามสัจจะ ๔ และประกอบเนื้อความของพุทธพจน์ฝ่ายโวทานด้วยอสุภสัญญาเป็นต้น โดยจำแนกตามสัจจะ ๔ 
๔. ทิสาโลจนนัย คือนัยที่สอดส่องกุศลธรรมเป็นต้นโดยความเป็นหัวข้อหลักแห่งนัย ๓
๕. อังกุสนัย คือนัยที่เหมือนตาขอซึ่งเกี่ยวธรรมมารวมกันไว้ในนัย ๓ อย่างแรก

มูลบท ๑๘ แบ่งเป็นสองกลุ่มคือ
กุศลบท กับ อกุศลบท อย่างละ ๙

อกุศลบท
ชุดที่ ๑ ตัณหา, อวิชา
ชุดที่ ๒ โลภะ, โทสะ, โมหะ
ชุดที่ ๓ วิปลาส ๔ (สุภสัญญา, สุขสัญญา, นิจจสัญญา, และ อัตตสัญญา)

ธรรมที่เป็นฝ่ายอกุศลทั้งหมดย่อมถึงการรวมเข้าในอกุศลบทเหล่านี้ อันนี้คือหัวข้อของอกุศล สารพัดอกุศลเนี่ยมีประธานอยู่ ๙ บทนี้แหละ 

กุศลบท
ชุดที่ ๑ สมถะ, วิปัสสนา
ชุดที่ ๒ อโลภะ, อโทสะ, อโมหะ
ชุดที่ ๓ สติปัฏฐาน ๔ (อสุภสัญญา, อสุขสัญญา, อนิจจสัญญา และ อนัตตสัญญา

ถ้าแยกคู่นะคือ ตัณหากับอวิชา จะอยู่ในกลุ่มนันทิยาวัฎฎนัย โลภะ, โทสะ,โมหะ อยู่ในกลุ่มติปุกขลนัย สุภสัญญาเป็นต้นอยู่ในสีหวิกกีฬิตนัย ส่วนสิ่งที่ตรงกันข้ามกับอกุศลคือกุศล กุศลบทนี้ก็แบ่งออกเป็น ๙ อีกเหมือนกัน คือสมถะกับวิปัสสนา สมถะนี่เป็นตัวกําจัดตัณหา วิปัสสนาเป็นตัวกําจัดอวิชชา อโลภะ อโทสะ อโมหะ ก็เป็นเครื่องกําจัดโลภะ โทสะ โมหะ แล้วก็สุภสัญญาเป็นต้น ก็คือสติปัฏฐานนั่นแหละเป็นตัวที่กําจัดวิปลาส อย่างอสุภสัญญาก็คือกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน อสุขสัญญาก็คือเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน อนิจจสัญญาก็คือจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน อนัตตสัญญาก็คือธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐานนั่นเอง ก็คือสติปัฏฐาน ๔ เป็นเครื่องกําจัดวิปลาส ๔ 

สรุป
ในอุเทศวาระแบ่งเป็น ๓ กลุ่มนะจํา ๓ กลุ่มเอาไว้ คือ
กลุ่มที่ ๑. หาระ ๑๖ เป็นหลักในการพิจารณาพยัญชนะ (ศัพท์)
กลุ่มที่ ๒. นัย ๕ นันทิยาวัฏฏนัย ติปุกขลนัย สีหวิกกีฬิตนัย ๓ นัยนี้เป็นหลักในการพิจารณาอรรถะ ทิสาโลจนนัย และอังกุสนัย เรียกว่า กรรมนัยหรือโวหารนัย เป็นเพียงการตรวจดูธรรมที่แสดงแล้วโดยอรรถนัย ๓ อย่างข้างต้นเท่านั้น ไม่มีการพรรณนาอรรถต่างหาก
กลุ่มที่ ๓. มูลบท ๑๘ ประกอบด้วยอกุศลมูล ๙ กุศลมูล ๙

อันเนี้ยอุเทสวาระเค้ามีอยู่เท่านี้เลยตามหัวข้อ  หาระและนัยเหล่านี้ ผู้ศึกษาสามารถนำไปใช้ในสูตรทั้งปวงได้ เพราะท่านกำหนดจากพระบาลีแล้วนำมาวางเป็นกฎเกณฑ์ เป็นหลักในการศึกษา ดังนั้นคัมภีร์เนตติจึงจัดเป็นสังวรรณนาสูตรที่ขยายความตามสมควรแก่พระบาลีที่เป็นสังวัณเณตัพพสูตร หรือสูตรที่ควรขยาย

ไม่ทราบใครพอจับอะไรได้บ้างไหม จริงอ่ะนะจับได้ ๓ อย่างเนี่ยใช้ได้ เอาอย่างแรกก่อนนะคัมภีร์หมายความว่าอย่างไร คัมภีร์นี้ในเนติเพราะนําไปสู่มรรค ผล นิพพาน อันนี้ก็ใช้ได้แล้วหนึ่ง สองศาสนามีกี่อย่าง ๓ ปริยัติ, ปฏิบัติ, ปฏิเวช ปริยัติมีสอง คืออรรถกับพยัญชนะ คัมภีร์เนตติแปลว่านําไปสู่มรรคผลนิพพานคัมภีร์เนตติเนี่ยมีหัวข้ออยู่ ๓ กลุ่ม หาระ ๑๖ นัย ๕ มูลบท ๑๘

๑. สังคหวาระ

นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส.

[๐] ชาวโลกพร้อมทั้งทวยเทพผู้รักษาโลก ย่อมนอบน้อมบูชาพระพุทธเจ้า ผู้ประเสริฐพระองค์ใดในกาลทุกเมื่อ บัณฑิตทั้งหลายพึงทราบคำสอนอันประเสริฐ ของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐพระองค์นั้น

       (ศาสนาทั้ง ๓ ประการ เรียกว่าคำสอนอันประเสริฐ, ในบรรดาศาสนา ๓ ประการเหล่านั้น ปริยัติศาสนาชื่อว่า สูตร). สูตรมี ๑๒ บท, สูตรทั้งปวงนั้นจัดเป็นพยัญชนบท (ศัพท์) และอรรถบท (อรรถ) ซึ่งทั้ง ๒ อย่างนั้น พึงทราบโดยสังเขปว่า ศัพท์คืออะไร อรรถคืออะไร

       คัมภีร์เนตติที่มีหาระ ๑๖, นัย ๕, มูลบท ๑๘ ซึ่งช่วยให้เข้าใจปริยัติศาสนานี้ พระมหากัจจายนเถระได้แสดงไว้

หาระ ทั้งหลายช่วยในการพิจารณาศัพท์ของสูตร, นัย ๓ อย่าง (คือ นันทิยาวัฏฏนัย ติปุกขลนัย สีหวิกกีฬิตนัย) ช่วยในการพิจารณาอรรถของสูตร, หาระ และ นัย ทั้ง ๒ อย่างนั้น สามารถนำไปใช้ในสูตรทั้งปวงได้, คัมภีร์เนตติที่เป็นสังวรรณนาสูตรนี้ ย่อมขยายความตามสมควรแก่สังวัณเณตัพพสูตร (สูตรที่ควรขยาย)

ผู้ศึกษาพึงทราบพระบาลีและอรรถแห่งพระบาลีทั้งสองอย่างนั้น ในการศึกษานั้น หาระ และนัยที่จะกล่าวเป็นลำดับต่อไปนี้ เป็นเครื่องช่วยให้เข้าใจ อรรถแห่งพระพุทธพจน์ อันมีองค์ ๙

       สังคหวาระ จบ

เรียบเรียงการขยายความโดย พระอาจารย์ สมบัติ นันทิโก

๑. สังคหวาระ คือการสรุปใจความของคัมภีร์

คัมภีร์เนตติปกรณ์คือคัมภีร์ที่ทําให้รู้จักอรรถกับพยัญชนะนั่นเองว่าเออศัพท์เนี่ยสามารถมองได้กี่แง่กี่มุมเหมือนกับว่าใครไปเลือกซื้อของอย่างหนึ่ง ปกติย่อมไม่ใช่เห็นแล้วซื้อเลย จะต้องเอามาเลือกดูโดยรอบเสียก่อน ดูจนรอบหมดแล้วก็ต้องสอบถามราคา ถามราคาเทียบกับที่อื่น ทั้งหมดแล้วจึงตัดสินใจซื้อ ฉันใด เราอ่านพระไตรปิฎกก็เหมือนกัน ผู้ที่เรียนเนติปกรณ์จะมองคําสอนในพระไตรปิฎกโดยรอบ ทีนี้ไอ้การที่จะมองโดยรอบเค้าก็มีวิธีมอง วิธีพิจารณาที่จะให้เห็นโดยรอบนั่นก็คือหาระกับนัยยะ ใจความของพระไตรปิฎกก็มีอยู่สองอย่างนี้เท่านั้น ที่พระพุทธเจ้าสอนนั้นคืออรรถกับพยัญชนะ อรรถ มี ๖ พยัญชนะ มีอีก ๖
หาระ คือ คําอธิบายพยัญชนะ 
นัย คือ คำอธิบายอรรถ

ทีนี้มาขึ้นตัวคัมภีร์ เนตติปกรณ์นี้โดยสรุปในเนื้อหามีหาระ ๑๖ มีนัย ๕ และก็มีมูลบท ๑๘ ซึ่งช่วยให้เข้าใจปริยัตติศาสนา ชื่อว่าสูตร สูตรมี ๑๒ บท, สูตรทั้งปวงนั้นจัดเป็นพยัญชนบท (ศัพท์) และอรรถบท (อรรถ) ซึ่งทั้ง ๒ อย่างนั้น พึงทราบโดยสังเขปว่า ศัพท์คืออะไร อรรถคืออะไร โดยพระมหากัจจายนะเถระแสดงไว้แล้ว ในคาถา เป็นคําประกาศถึงลักษณะปริยัติศาสนา คืออรรถกับพยัญชนะ ส่วนคัมภีร์เนติปกรณ์จะกล่าวถึงหาระ ๑๖ นัย ๕ มูลบท ๑๘ ที่เป็นเครื่องช่วยให้เข้าใจในอรรถกับพยัญชนะทั้งหมด หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือวิชาว่าด้วยการตีความตามคําสอนก็ไม่ผิด คือศึกษาแล้วก็มีหลักในการไปตีความคําสอน

ทีนี้ท่านก็สรุปว่าหาระทั้ง ๑๖ นะช่วยกันพิจารณาศัพท์ของสูตร ส่วนนัย ๕ สามนัยแรกคือ นันทิยาวัฎฎนัย ๑ ติปุกขลนัย ๑ สีหวิกกีฬิตนัย ๑ อันนี้ช่วยพิจารณาอรรถของสูตร ที่เหลืออีกสองนัยใช้ดึงมาเข้าในสามนัย (มีอธิบายในภายหลัง) หาระและนัย สามารถนําไปใช้ได้ในสูตรทั้งหมด สรุปว่าคัมภีร์เนตติปกรณ์สามารถนำไปใช้ได้ในพระไตรปิฎกทั้งหมดเลย

พระไตรปิฎกเอาหลักเนตติปกรณ์ไปพิจารณา

คัมภีร์เนตติปกรณ์ที่เป็นสังวรรณนาสูตรนี้ ย่อมขยายความตามสมควรแก่สังวัณเณตัพพสูตร ก็สองคําเองนะ สังวรรณนากับสังวัณเณ สังวรรณนาแปลว่าคําอธิบาย สังวัณเณตัพพะแปลว่าควรอธิบาย อย่างเช่นสังวัณเณตัพพหมายถึงพระไตรปิฎกคือก็ต้องอธิบายอีกครั้งหนึ่ง สังวรรณนาคือเนตติปกรณ์ เป็นตัวอธิบายพระไตรปิฎก หรือถ้าพูดในหนึ่งก็บอกว่าพระพุทธเจ้าเป็นคนเทศน์ พระมหากัจจายนะเป็นคนอธิบาย ว่านั้นเถอะสังวัณเณตัพพตัวนั้นหมายถึงพระพุทธเจ้าหรือพระพุทธพจน์ สังวรรณนาหมายถึงพระมหากระจายนะผู้แสดงอธิบายให้เห็น ก็คํานวณว่าต้องตีความให้คนเค้ารู้ เดี๋ยวเราคนไม่รู้ไปตีความกันเอาเองก็เดือดร้อนเหมือนกัน

ผู้ศึกษาพึงทราบพระบาลีและอรรถแห่งพระบาลีทั้งสองอย่างนั้นในการศึกษานั้น หาระและนัยที่จะกล่าวเป็นลําดับต่อไปนี้ เป็นเครื่องช่วยให้เข้าใจอรรถแห่งพระพุทธพจน์อันมีองค์ ๙ 
  • ๑. สุตตะ ได้แก่ พระ​สูตร​ทั้ง​หลาย รวม​ถึง​พระ​วินัย​ปิฎก และ​นิท​เทส
  • ๒. เคยยะ คือ พระ​สูตร​ทั้งหมด​ที่มีคาถา​
  • ๓. เวย​ยา​กรณะ คือ พระ​อภิธรรม​ปิฎก และพระพุทธ​พจน์​ที่​ไม่​จัด​เข้า​ใน​องค์ ๘
  • ๔. คาถา คือ พระ​ธรรมบท เถร​คาถา เถรี​คาถา และ​คาถา​ล้วนๆ ที่​ไม่มี​ชื่อ​สูตร​ใน​สุต​นิ​บาต
  • ๕. อุทาน คือ พระ​สูตร ๘๒ สูตร ที่​พระ​พุทธองค์​ทรง​เปล่ง​​ด้วย​โสมนัส​ญาณ
  • ๖. อิ​ติวุ​​ตกะ คือ พระ​สูตร ๑๑๐ สูตร ที่ขึ้นต้น​ด้วย​คำ​ว่า​ วุตฺตํ เหตํ ภคว​ตา (ข้อ​นี้​สมจริง​ดัง​คำที่​พระ​ผู้มี​พระ​ภาค​​ตรัส​ไว้​แล้ว)
  • ๗. ชาตกะ คือ เรื่อง​อดีต​ชาติ​ของ​พระ​ผู้มีพระ​ภาค​และ​พระสา​วก​
  • ๘. อัพ​ภูต​ธรรม คือ พระ​สูตร​ที่​ประ​กอ​บด้ว​ยอัจฉ​ริ​ยอัพ​ภูต​ธรรม (ธรรมที่ยิ่งด้วยคุณพิเศษอันน่าอัศจรรย์)
  • ๙. เวทัล​ละ คือ พระ​สูตร​ที่​เมื่อ​ถาม​แล้ว จะได้​ความ​รู้​แจ้ง และความ​ยิน​ดี​ยิ่งๆ ขึ้น
อรรถะก็คืออรรถ ๖ ประการ พระพุทธพจน์เนี่ยถ้าว่าไปจะนับว่าเป็น ๑ ก็ได้ นับ ๒ ก็ได้ นับ ๓ ก็ได้นับ ๕ ก็ได้นับ ๙ ก็ได้ คําสอนของพระพุทธเจ้าถ้า นับ ๑ ก็คือมีจุดประสงค์อันเดียว เพื่อวิมุตติรส เหมือนน้ําทะเลเนี่ยนะทะเลถึงจะไปลงที่ประเทศไหนก็ตามถ้าดื่มน้ําเค็มเหมือนกันหมด ที่กล่าวไปหมายถึงว่าพระไตรปิฎกของพระพุทธเจ้า ตั้งแต่แรกตรัสรู้จนถึงก่อนวันที่พระพุทธองค์เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานก็มีจุดมุ่งหมายอยู่อันเดียว คือ วิมุตติรส ความหลุดพ้นแห่งจิต เพราะไม่ถือมั่น แปลว่ามีจุดประสงค์ที่ชัดเจนคืออรหัตผล นับ ๒ แบ่งเป็นธรรมกับวินัย ธรรม คือรักษาผู้ปฏิบัติตามไม่ให้ตกไปสู่อบาย ส่วนวินัยก็คืออุบายเป็นเครื่องฝึกกายวาจาเป็นต้นนั่นเอง แบ่งเป็น ๓ ก็คือไตรปิฎก ๓ ปิฎก ก็คือศีล สมาธิ ปัญญา วินัยปิฎกเป็นศีล สุตตันปิฏกเป็นสมาธิ อภิธรรมปิฏกเป็นปัญญา ศีลกําจัดโทสะสมาธิกําจัดราคะ ปัญญากําจัดโมหะ ถ้าแบ่งเป็น ๕ ก็เรียกว่าองค์นิกาย ๕ ทีฆนิกาย (หมวดยาว ๓๔ สูตร) มัชฌิมนิกาย (หมวดปานกลาง ๑๕๒ สูตร) สังยุตตนิกาย (หมวดประมวลเนื้อหา ๗๗๖๒ สูตร)  อังคุตตรนิกาย (หมวดยิ่งด้วยองค์มี ๙๕๕๗ สูตร) ขุททกนิกาย (หมวดเล็กน้อย ในพระสูตรมี ๑๕ คัมภีร์ พระวินัยก็สงเคราะห์ลงในขุททกนิกาย พระอภิธรรมก็สงเคราะห์ลงในขุททกนิกาย) แต่ถ้าว่าโดยองค์ มีองค์ ๙ คือ สุตะ เคยยะ เวย​ยา​กรณะ คาถา อุทาน อิติวุตกะ ชาตกะ อัพ​ภูต​ธรรม เวทัล​ละ ทั้งหมดที่กล่าวไปนี้ คือสังคหวาระ เนื้อความโดยสรุปของคัมภีร์เนติปกรณ์

ศาสนาของพระพุทธเจ้าคือโดยเฉพาะปริยัติ เนี่ยแบ่งออกเป็น ๒  คืออรรถกับพยัญชนะ 
อรรถนี้แบ่งออกเป็น ๖ พยัญชนะแบ่งออกเป็น ๖ พระมหากระจายนะท่านแสดงคัมภีร์เนติปกรณ์กล่าวถึงหาระ ๑๖ นัย ๕ มูลบท ๑๘ ก็เพื่อให้ผู้ศึกษาพระไตรปิฏกเข้าใจในอรรถ ๖ กับพยัญชนะ ๖ ให้มากยิ่งขึ้น ทีนี้ย้อนมาถึงคําว่า คัมภีร์เนติปกรณ์ มีความหมายว่าอย่างไร ? พระบาลีนั่นแหละคือศัพท์, คือพยัญชนะ เนื้อความแห่งพระบาลีนั่นแหละคืออรรถ พระพุทธเจ้าเวลาแสดงธรรมย่อมสมบูรณ์ทั้งอรรถและพยัญชนะ ใช้ถ้อยคําสมบูรณ์หมด เนื้อความก็เข้าใจถูกต้อง เขามีอย่างนี้ว่า "คําพูดใดที่ไม่มีอรรถคําพูดนั้นไร้ประโยชน์" คําพูดใดที่ตั้งคําพูดไว้ไม่ดี เนื้อความ เนื้อหาก็คลาดเคลื่อน แต่พระพุทธเจ้าสอนไม่เป็นอย่างนั้น ของพระพุทธองค์สมบูรณ์ทั้งคําพูด สมบูรณ์ทั้งเนื้อหา ทีนี้ดูในคัมภีร์เนติปกรณ์ซึ่งประกอบไปด้วยหาระ ๑๖ นัย ๕ และมูลบท ๑๘ นักศึกษาควรจดจํา ถ้าจําไม่ได้ก็เข้ามาดูบ่อย ๆ คําว่าคําภีร์เนตติ แปลว่า สามารถนําเวไนยสัตว์ทั้งหลายไปสู่มรรคผลนิพพาน

คือตัวที่นําสัตว์เนี่ยเป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้สัตว์บรรลุมรรคผลนิพพาน คําว่าเนตติ แปลว่า นําไป เช่นตัณหาเนี่ยก็ชื่อว่าเนตติเหมือนกัน นำไปเหมือนกัน แต่ตัณหานี่นําไปสู่กามภพ รูปภพและอรูปภพตัณหาชื่อว่าเนตติ ตัณหานําไปเกิดใหม่ ฉันใด คัมภีร์เนตติปกรณ์ก็นําไปเหมือนกัน แต่นําไปสู่มรรคผลนิพพาน ตัณหานําไปเกิด แต่คัมภีร์เนตติปกรณ์นําไปเพื่อเลิกเกิด จุดหมายคือ "นํา" เหมือนกันแต่คนละทางกัน เปรียบเทียบอุปมาว่าถ้าตัดต้นไม้ ใช้อะไรตัด ก็ใช้ขวานตัดใช่มั้ย เครื่องมือในการช่วยตัด ถ้าจะเดินทางไปไกลๆ ตามทางนี้อาศัยอะไร ก็อาศัยรถเป็นเครื่องมือในการช่วยเดินทาง ผู้ที่จะมีความรู้เข้าใจคําสอนพระพุทธเจ้าเหมือนกันก็ใช้คัมภีร์เนตติปกรณ์นี้แหล่ะ เป็นเครื่องมือช่วยนําให้เข้าใจคําสอน หรือคัมภีร์เป็นที่แนะนําเวไนยสัตว์ทั้งหลายไปสู่มรรคผลนิพพาน ซึ่งหมายความว่านักศึกษาทั้งหลายที่ปรารถนามรรคผลนิพพานต้องมาเรียนคัมภีร์นี้นะ แต่บางท่านก็บอก เอ๊ะ..เรียนคัมภีร์นี้คำภีร์เดียวก็พอหรือ ? (ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก) คือหมายถึงว่าสําหรับผู้ที่อยากจะขยายพุทธพจน์ย่อให้พิสดารได้ คือไม่คิดอะไรแง่เดียว ไม่มองอะไรสิ่งเดียว ควรศึกษาเนตติปกรณ์ เพราะเนตติปกรณ์เป็นคัมภีร์ที่ไม่ได้มองอะไรแง่เดียว แต่มองรอบด้านจริงๆ โดยการมองรอบทั้งอรรถและพยัญชนะเป็นอย่างดี 

แสงธรรมนำทาง...

สคริปเก่า