บทความ

กำลังแสดงโพสต์ที่มีป้ายกำกับ วินัยสงฆ์

กาลิกบัพพ์

รูปภาพ
กาลิกบัพพ์ บัดนี้ จะว่าด้วย🔎 กาลิก(๙๒) มี ๔ คือ ๑. ยาวกาลิก คือ   โภชนะทั้ง ๕ ข้าวสุก ขนม🔎 กุมมาส(๙๓) ข้าวสัตตู เนื้อปลา แลขาทนียะ มีลูกไม้รากไม้เป็นต้น ที่สำเร็จอาหารกินได้โดยปรกติ เป็นยาวกาลิก ฉันได้แต่เช้าชั่วเที่ยง ถ้าเที่ยงแล้วไป ฉันเป็น ปาจิตตีย์ ถ้าประเคนแรมคืนไว้เป็นสันนิธิ ฉันเป็น ปาจิตตีย์ ถ้าทำให้เป็นอันโตวุฏฐะ คือไว้ในอกัปปิยกุฎี เป็นอันโตปักกะ คือให้สุกในกัปปิยกุฎีเป็นสามปากะ คือให้สุกเอง ฉันเป็น ทุกกฏ กัปปิยกุฎี คือโรงเรือนสำหรับเก็บเครื่องใช้สอยที่สมควรแก่สมณะ ๒. ยามกาลิก  คือ  ปานะ ๘   น้ำมะม่วง ๑ น้ำชมพู่ ๑ น้ำกล้วยมีเมล็ด ๑ น้ำกล้วยไม่มีเมล็ด ๑ น้ำลูกมะทราง ๑ น้ำลูกองุ่น ๑ น้ำรากบัว ๑ น้ำลิ้นจี่ ๑ กับทั้งน้ำผลไม้เป็นยามกาลิกอนุปสัมบันทำไม่ให้สุกด้วยไฟ รับประเคนแล้ว ฉันได้วันหนึ่ง พ้นจากนั้นไป ฉันเป็น ทุกกฏ ๓. สัตตาหกาลิก  คือ  เภสัชชะทั้ง ๕   เนยใส ๑ เนยข้น ๑ น้ำมัน ๑ น้ำผึ้ง ๑ น้ำอ้อย ๑ เป็นสัตตาหกาลิก รับประเคนแล้วฉันได้ ๗ วัน เกินจากนั้นไป ฉันเป็น นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๔. ยาวชีวิก   คือ สมุนไพร ขมิ้น ขิง ว่านน้ำ...

ทุพภาสิต

ทุพภาสิต ภิกษุแกล้งพูดหยอกล้อ หรือใช้คำพูดเสียดแทงให้เจ็บใจ โดยหมายให้ได้ความอัปยศ ด้วยกล่าว โอมสวาท หรือด้วย อักโกสวัตถุ  ๑๐ อย่าง คือ        ๑. ชาติ ได้แก่ชั้นหรือกำเนิดของคน        ๒. ชื่อ        ๓. โคตร คือตระกูลหรือแซ่        ๔. การงาน        ๕. ศิลปะ        ๖. โรค        ๗. รูปพรรณสัณฐาน        ๘. กิเลส        ๙. อาบัติ        ๑๐. คำสบประมาทอย่างอื่นๆ คำพูดคำด่าเหล่านี้ หากภิกษุกล่าวแก่ภิกษุด้วยกัน ต้อง อาบัติ ปาจิตตีย์ กล่าวแก่อนุปสัมบัน(สามเณร, คฤหัสถ์) ต้อง อาบัติ ทุกกฏ ตามสิกขาบทที่ ๒ แห่ง🔎 มุสาวาทวรรค ปาจิตติยกัณฑ์ สมณวิสัย 🔅  อินทรียสังวรศีล 🔅  อาชีวปรสุทธิศีล 🔅  ปัจจัยสันนิสสิตศีล 🔅  ปัจจเวกขณวิธี ๔ ประการ 🔅  ถุลลัจจัย 🔅  ทุกกฏ 🔅  ทุพภาสิต 🔅  กาลิกบัพพ์

ทุกกฏ

ทุกกฏ สจิตตกะ   มีเจตนาที่จักกระทำ จะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม หากมีเจตนาเป็น อาบัติทุกกฏ - ภิกษุอย่านุ่งห่มผ้าดังคฤหัสถ์ - อย่าทรงผ้าสีต่าง ๆ มีสีเขียวแลเหลืองเป็นต้น - อย่าทรงผ้ามีชายไม่ได้ตัด แลผ้ามีชายยาว แลมีชายเป็นดอกไม้ แลผ้ามีชายเป็นแผ่น - อย่าทรงเสื้อกางเกง แลหมวกผ้าโพก - อย่านั่งรัดเข่าด้วยผ้าสังฆาฏิ - อย่ามีแต่ผ้านุ่งแลผ้าห่มเข้าบ้าน - ภิกษุไม่เป็นไข้ อย่าไปด้วยยาน แลอย่าใส่รองเท้าเข้าบ้าน - อย่าใส่รองเท้า ๒ ชั้น ๓ ชั้น แลรองเท้าสีต่าง ๆ มีสีเขียวเป็นต้น แลรองเท้าปกส้นปกหลังเท่าเป็นต้น แลรองเท้าไม้รองเท้าหญ้าเป็นต้น - อย่าทาแลผัดย้อมหน้า แลย้อมตัวด้วยเครื่องทาเครื่องย้อม - อย่าทรงเครื่องประดับ มีตุ้มหูเป็นต้น - อย่าให้เขาถอนผมหงอก - อย่าให้เขาตัดผม - อย่าให้เขาตัดซึ่งหนวด - ไม่เป็นไข้อย่าสองดูเงาในกระจกแลภาชนะแห่งน้ำ - อย่าเพ่งดูนิมิตหญิง - เมื่ออาบน้ำอย่าสีกายในต้นไม้ ในเสา ในฝา - อย่าเอาหลังต่อหลังสีกัน - ไม่เป็นไข้อย่ากั้นร่มนอกอุปจารวัด - อย่าให้เขาเขียนรูปภาพ - อย่าเอาบาตรคล้องแขน - อ...

ถุลลัจจัย

ถุลลัจจัย จักพรรณนาในถุลลัจจยาบัติ ข้อหนึ่งภิกษุ อย่าพึงสละ ข้อหนึ่ง อย่าพึงแจก  ครุภัณฑ์ที่เป็นของสงฆ์ถ้าสละ หรือแจกก็เป็นถุลลัจจัยด้วยพุทธบัญญัติห้ามไว้ ถุลลัจจัย ว่าด้วย  ครุภัณฑ์ นั้นมี ๕ หมวด ดังนี้ หมวดที่ ๑  (๒ อย่าง) สวนดอกไม้ลูกไม้ ๑ ที่ดินพื้นสวน ๑ หมวดที่ ๒  (๒ อย่าง) วิหาร คือ กุฏิตึกเรือนที่อยู่ เป็นต้น ๑ ที่ดินพื้นแห่งวิหาร ๑  หมวดที่ ๓  (๔ อย่าง) เตียง ๑ ตั้ง ๑ ฟูก ๑ หมอน ๑ หมวดที่ ๔ (๙ อย่าง) หม้อทำด้วยโลหะ ๑ คะนนทำด้วยโลหะ ๑ กระปุกขวดทำด้วยโลหะโตจุของกว่า ๕ ทะนานมคธขึ้นไป ๑ กระถางกระทะทำด้วยโลหะ แม้เล็กจุน้ำได้ซองมือเดียว ๑ โลหะนั้นเป็นชื่อแห่งทองเหลือง ทองขาว ทองแดง ทองสัมฤทธิ์ ของหล่อ แลมีดใหญ่ที่ตัดฟันของใหญ่ พ้นจากตัดไม้สีฟัน แลปอกอ้อยขึ้นไปได้ ๑ ขวานเครื่องผ่าไม้ ๑ พึ่งเครื่องถากไม้ ๑ จอบเสียมเครื่องขุดดิน ๑ เหล็กหมาดบิดหล่า เครื่องเจาะไข ๑ หมวดที่ ๕  (๘ อย่าง) เถาวัลย์ยาวแต่กิ่งแขนขึ้นไป ๑ ไม้ไผ่ยาว ๘ นิ้วขึ้นไป ๑ หญ้ามุงกระต่าย ๑ หญ้าปล้อง ๑ หญ้าต่าง ๆที่สำหรับมุงบังได้แต่กำมือหนึ่งขึ้นไป ๑ ดินปกติและดินที่สีต่าง ๆ เป็นเครื่อง...

ปัจจเวกขณวิธี ๔ ประการ

ปัจจเวกขณวิธี ๔ ประการ ในการที่จะพิจารณาปัจจัยทั้ง ๔ นี้ ท่านแบ่งออก เป็น ๔ อย่าง เรียกว่า ปัจจเวกขณะ ๔ ๑. ธาตุปัจจเวกขณ์ ให้พิจารณาเห็นสักว่าเป็นธาตุ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ให้พิจารณาเมื่อได้รับจตุปัจจัยอัน ใดอันหนึ่ง ได้แก่ “ยถาปจจย์ ฯลฯ สุญโญ” ให้พิจารณา เห็นโดยสักว่าธาตุ อันนี้เรียกว่า ธาตุปัจจเวกขณ์ ๒. พิจารณาก่อนแต่กาลบริโภค ให้เห็นว่าเป็นของจึงเกลียดโดย🔎 ปฏิกูลกรรมฐาน ได้แก่ “สพุพานิ ปน อิมานิ หรือ สพโพ ปนายํ ฯลฯ ชายนุติ หรือ ชายติ” ดังนี้ เรียกว่า ปฏิกูลปัจจเวกขณ์ ๓. ในขณะจะบริโภคให้พิจารณาในส่วน “ตงขณิก ปจจเวกขณ์” ได้แก่ “ปฏิสงฺขา โยนิโส” ทั้ง ๔ บทแล้วแต่ปัจจัยที่บริโภค นี้เรียกว่า ตังขณิกปัจจเวกขณ์ ๔. ในส่วนอดีตปัจจเวกขณ์ ได้แก่ “อชุช มยา” ฯลฯ เป็นส่วนที่ทรงอนุญาตให้ไว้ เพื่อความหลงลืมในเวลารับเวลาบริโภค ความว่า เมื่อภิกษุได้รับหรือบริโภคปัจจัยทั้ง ๔ มิได้พิจารณาในธาตุปัจจเวกขณ์ หรือ ปฏิกูลปัจจเวกขณ์ แลตั้งขณิกปัจจเวกขณ์ แล้วภายหลังกำหนดในวันเดียวเท่านั้น อย่าให้ทันอรุณใหม่ขึ้นมาก็ให้ พิจารณาใน อดีตปัจจเวกขณ์ ต่อไป ถ้าไม่ได้พิจารณาใน อดีตปัจจเวกขณ์ในวันนั้น ชื่อว...

ปัจจัยสันนิสสตศีล

ปัจจัยสันนิสสตศีล บัดนี้จะว่าด้วยปัจจัยสันนิสสตศีล ในปัจจัยสันนิสสตศีลนั้นความว่า ภิกษุพึงพิจารณาปัจจัยทั้ง ๔ คือ      จีวร  เครื่องนุ่งห่ม หรือผ้าอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งสมควรแก่ภิกษุจะบริโภคได้เป็นต้น ๑      บิณฑบาต  ของซึ่งเป็นอาหารอันภิกษุพึงจะรับ ฉันได้ในกาล คือเช้าถึงเที่ยง ๑      เสนาสนะ  เครื่องลาดปู มีที่นั่งหรือที่นอนเป็นต้น จะเป็นเสื่อหรือแผ่นผ้าอันใดก็ตาม ๑      คิลานปัจจัย สิ่งที่สงเคราะห์เข้าในยาสำหรับรักษา โรคไข้เจ็บ จะเป็นยาวชีวิกก็ฉันได้ตราบเท่าสิ้นชีวิตและ ยามกาลิกมีกำหนดฉันได้ชั่วกาลวันหนึ่งตลอดคืนหนึ่ง หรือชั่ว ๗ วันเป็นกำหนดที่เรียกว่า สัตตาหกาลิก ๑ จบปัจจัยสันนิสสิตศีลสังเขปเท่านี้ สมณวิสัย 🔅  อินทรียสังวรศีล 🔅  อาชีวปรสุทธิศีล 🔅  ปัจจัยสันนิสสิตศีล 🔅  ปัจจเวกขณวิธี ๔ ประการ 🔅  ถุลลัจจัย 🔅  ทุกกฏ 🔅  ทุพภาสิต 🔅  กาลิกบัพพ์

อาชีวปรสุทธิศีล

รูปภาพ
อาชีวปาริสุทธิศีล บัดนี้ จะว่าในอาชีวปาริสุทธิศีลต่อไป อาชีวปาริสุทธิศีลนั้นว่า ให้ภิกษุพึงแสวงหาเลี้ยงชีพโดยโคจรบิณฑบาต หรือรับภัตตาหารที่ทายกนิมนต์ ซึ่งเป็นอติเรกลาภอันเป็นของบริสุทธิ์ ปราศจากมิจฉาชีพ เลี้ยงชีวิตด้วย อเนสนากรรม คือการแสวงหาไม่ควร คือ ให้ดอกไม้ ๑ ให้ผลไม้ ๑ ให้จุณเครื่องทา ๑ ให้ไม้สีฟัน ๑ ให้ไม้ไผ่ ๑ แก่ตระกูลผู้มิใช่ญาติและเป็นหมอให้ยารักษาไข้ แลเป็นทูตเดินข่าวสารของคฤหัสถ์ หรือหาเลี้ยงชีพด้วยอุบายต่าง ๆ มีขวนขวายช่วยทำกิจการงานเป็นต้นที่โลกนับว่าเป็นการประจบประแจงเหล่านี้ เป็น อเนสนากรรม เป็นการแสวงหาไม่ควร เพราะฉะนั้นภิกษุพึงละเว้นจากการแสวงหาเลี้ยงชีวิตอันไม่ควรเหล่านี้เสีย จึงชื่อว่าเป็นผู้ประกอบด้วยอาชีวปาริสุทธิศีลและพึงทำความศึกษาต่อไปให้ได้ความชัดเจนด้วย จบอาชีวปาริสุทธิศีลสังเขปเท่านี้   สมณวิสัย 🔅  อินทรียสังวรศีล 🔅  อาชีวปรสุทธิศีล 🔅  ปัจจัยสันนิสสิตศีล 🔅  ปัจจเวกขณวิธี ๔ ประการ 🔅  ถุลลัจจัย 🔅  ทุกกฏ 🔅  ทุพภาสิต 🔅  กาลิกบัพพ์

อินทรียสังวรศีล

รูปภาพ
อินทรียสังวรศีล  เป็นกิจของสมณะต้องประพฤติเสมอ บัดนี้จะว่าในอินทรียสังวรศีล ความสำรวมระวังรักษาซึ่งอินทรีย์ทั้ง ๖ อันเป็น🔎 อายตนะ ภายใน เมื่อกระทบถูกอายตนะภายนอก อย่าพึ่งทำความยินดีให้เกิดขึ้นด้วยสังกิเลสธรรม อันเป็นเครื่องเศร้าหมองในสันดาน จึงกำหนดให้เห็นลงด้วยปัญญาเป็นไปสักแต่ว่า🔎 ธาตุ และยึดถือเอาพระ🔎 ไตรลักษณ์ เป็นอารมณ์ โดยความที่ว่าเป็นของไม่เที่ยง แลเป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน เมื่อทำปัญญาให้เป็นไปโดย🔎 ปัจจเวกขณวิธี พิจารณาเห็นลงซึ่งสังขารธรรมให้เป็นไปดังนี้ ก็เป็นเหตุที่จะกำจัดสังกิเลสธรรมเครื่องลามกเศร้าหมองเสียให้ห่างไกลได้ จิตของภิกษุนั้นก็ปราศจากกังวล ตั้งมั่นในการเจริญสมณธรรมเป็นเบื้องหน้า ในอินทรีย์ ๖ นี้ คือ จักขุนทรีย์ (อินทรีย์ คือ ตา สำหรับดูรูป ๑) โสตินทรีย์ (อินทรีย์ คือ สำหรับฟังเสียง ๑) ฆานินทรีย์ (อินทรีย์ คือ จมูก สำหรับดม ๑) ชิวหินทรีย์ (อินทรีย์ คือ ลิ้น สำหรับลิ้มรส ๑) กายินทรีย์ (อินทรีย์ คือ กายสำหรับถูกต้อง โผฏฐพพารมณ์ ๑) มนินทรีย์ (อินทรีย์ คือ ใจ สำหรับรู้เหตุผล ๑) รวมเป็น ๖ ประการ ซึ่งให้สำรวมระวังนั้น คือ ๑. ตาได้มองเห็นรูป ชายหญิง หรือรูปอื่น ๆ...

อธิกรณสมถะ ๗

รูปภาพ
อธิกรณสมถะ ๗ ประการ คือ ธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแต่งตั้งบัญญัติไว้ เพื่อจะให้พระสงฆ์ระงับอธิกรณ์ ข้อผิดของภิกษุบริษัทที่เกิดขึ้นแล้วนั้น ๆ มีอุบายวิธี ๗ ประการ อธิกรณ์ที่พระสงฆ์จะต้องระงับด้วยอธิกรณสมถะ ๗ นั้นมี ๔ คือ วิวาทาธิกรณ์ ๑ อนุวาทาธิกรณ์ ๑ อาปัตตาธิกรณ์ ๑ กิจจาธิกรณ์ ๑ เป็น ๔ ประการฉะนี้ อันการที่ภิกษุมีความเห็น🔎 วิปลาส (๗๓) เกิดความวิวาท กล่าวต่าง ๆ กัน ให้วิปริตผิดเพี้ยนพระธรรมวินัย นี้ชื่อว่า วิวาทาธิกรณ์  การที่ภิกษุติดตาม ว่ากล่าว ทักท้วง ยกโทษกันด้วย🔎 ศีลวิบัติ อาจารวิบัติ ทิฏฐิวิบัติ อาชีววิบัติ (๗๘-๘๑) แต่อย่างใดอย่างหนึ่ง นี้ชื่อว่า อนุวาทาธิกรณ์  การที่ภิกษุต้องอาบัติทั้ง ๗ กอง คือ ปาราชิก ๑ สังฆาทิเสส ๑ ถุลลัจจัย ๑ ปาจิตตีย์ ๑ ปาฏิเทสนียะ ๑ ทุกกฏ ๑ ทุพภาสิต ๑ แต่กองใดกองหนึ่ง นี้ชื่อว่า อาปัตตาธิกรณ์  การที่ภิกษุทำกิจที่พระสงฆ์จะพึงกระทำทั้ง ๔ คือ 🔎 อปโลกนกรรม (๘๒) ดังอปโลกน์เข้าสงฆ์ ๑ ญัตติกรรมอย่างสวดอุโบสถแลสวดปวารณา ๑ ญัตติทุติยกรรม อย่างสวดผูกสวดถอนพัทธสีมาแลสวดกฐิน ๑ ญัตติจตุตถกรรม อย่างสวดอุปสมบทและสวดปริวาส มานัต  อัพภาน ๑ กรรมทั้ง...

ปกิณกะ ๓

เสขิยวัตร ๗๕ เสขิยวัตร ๗๕ สิกขาบท  กำหนดนับ ๑๐ สิกขาบทเป็นวรรคหนึ่ง ๆ ได้ ๗ วรรค อีก ๕ สิกขาบทนั้นจัดเป็น ๑ รวมเป็น ๘ วรรค        (สารูป ๒๖)  การกระทำ ให้สมควรแก่สมณะ (โภชนปฎิสังยุตต์ ๓๐)  วิธีที่จะขบฉัน (ธัมมเทสนาปฎิสังยุตต์ ๑๖)  การแสดงธรรม ( ปกิณกะ ๓ )  คือที่เรี่ยรายอยู่นำมายกขึ้นสู่อุเทศ ปกิณกะมี ๓ สิกขาบท   ในปกิณกะ ๓ สิกขาบทนี้ ให้ภิกษุพึงทำความศึกษาสำเหนียกหมายไว้ ดังนี้ สิกขาบทที่ ๑. ว่าเรามิได้เจ็บไข้ จักไม่ยืนถ่ายอุจจาระปัสสาวะ สิกขาบทที่ ๒. ว่าเรามิได้เจ็บไข้ จักไม่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ บ้วนน้ำลาย รดลงในภูตคามอันเขียวสด คือ กอไม้ หย่อมหญ้า เครือลัดดา เสวาลชาติ อันงอกงามบนบกและในน้ำ สิกขาบทที่ ๓. ว่าเรามิได้เจ็บไข้ จักไม่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ บ้วนน้ำลาย ลงไปในน้ำที่ควรจะดื่มกินได้ ให้ภิกษุพึงสำเหนียกนึกหมายจำไว้ ในปกิณกะสิกขาบทนี้ จบเสขิยวัตร ๗๕ สิกขาบท เท่านี้ 🔅  ปาราชิก ๔   🔅  สังฆาทิเสส ๑๓   🔅  อนิยต ๒   🔅  นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐          ( จีวรวรรค ๑๐ ) ...

ธัมมเทสนาปฎิสังยุตต์ ๑๖

เสขิยวัตร ๗๕ เสขิยวัตร ๗๕ สิกขาบท  กำหนดนับ ๑๐ สิกขาบทเป็นวรรคหนึ่ง ๆ ได้ ๗ วรรค อีก ๕ สิกขาบทนั้นจัดเป็น ๑ รวมเป็น ๘ วรรค        (สารูป ๒๖)  การกระทำ ให้สมควรแก่สมณะ (โภชนปฎิสังยุตต์ ๓๐)  วิธีที่จะขบฉัน ( ธัมมเทสนาปฎิสังยุตต์ ๑๖ )  การแสดงธรรม (ปกิณกะ ๓)  คือที่เรี่ยรายอยู่นำมายกขึ้นสู่อุเทศ ธัมมเทสนาปฏิสังยุตต์มี ๑๖ สิกขาบท ในเทสนาปฏิสังยุตต์นั้น ให้ภิกษุผู้จะแสดงธรรมกล่าวสั่งสอนพึงศึกษาสำเหนียกนึกไว้ในใจ ดังนี้ สิกขาบท ที่ ๑. ว่าเราจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้อันถือร่มกางอยู่ในมือ สิกขาบท ที่ ๒. ว่าเราจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้อันถือท่อนไม้กระบอง ๔ ศอกอยู่ในมือ สิกขาบท ที่ ๓. ว่าเราจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้อันถือศัสตรา คือ มีด พร้า ดาบ หอก ง้าว ตรี เป็นต้น สิกขาบท ที่ ๔. ว่าเราจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ถืออาวุธ คือ ธนู หน้าไม้ เกาทัณฑ์ ขวาก หลาว เป็นต้น สิกขาบท ที่ ๕. ว่าเราจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ อันสอดใส่รองเท้าไม้ฟังอยู่ สิกขาบท ที่ ๖. ว่าเราจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ อันสอดใส่รองเท้าต่าง ๆ ยืนฟังธรรม สิกขาบท ...