บทความ

กำลังแสดงโพสต์ที่มีป้ายกำกับ พระสุตตันตปิฎก

มหาสติปัฏฐานสูตร (หน้า ๒)

รูปภาพ
  มหาสติปัฏฐานสูตร (หน้า ๑) หมวดสัจจะ ภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย คือ อริยสัจ ๔ อยู่  ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย คือ อริยสัจ ๔ อยู่ อย่างไร คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า ‘นี้ทุกข์’ รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า ‘นี้ทุกขสมุทัย’ รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า ‘นี้ทุกขนิโรธ’ รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า ‘นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา’ ทุกขสัจจนิทเทส ทุกขอริยสัจ เป็นอย่างไร คือ  ชาติ (ความเกิด) เป็นทุกข์ ชรา (ความแก่) เป็นทุกข์ มรณะ (ความตาย) เป็นทุกข์ โสกะ (ความโศก) เป็นทุกข์ ปริเทวะ (ความคร่ำครวญ) เป็นทุกข์ ทุกข์ (ความทุกข์กาย) เป็นทุกข์ โทมนัส (ความทุกข์ใจ) เป็นทุกข์ อุปายาส (ความคับแค้นใจ) เป็นทุกข์ การประสบกับอารมณ์อันไม่เป็นที่รักเป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากอารมณ์อันเป็นที่รักเป็นทุกข์ การไม่ได้สิ่งที่ต้องการเป็นทุกข์ โดยย่อ อุปาทานขันธ์๑- ๕ เป็นทุกข์ ชาติ เป็นอย่างไร  คือ ความเกิด ความเกิดพร้อม ความหยั่งลง ความบังเกิด ความบังเกิดเฉพาะ ความปรากฏแห่งขันธ์ ความได้อายตนะ ในหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ ภิกษุทั้งหลาย นี้เรีย...

มหาสติปัฏฐานสูตร (หน้า ๑)

รูปภาพ
ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้              สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ นิคมของชาวกุรุ ชื่อกัมมาสธัมมะ  แคว้นกุรุ ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาครับสั่งเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า  “ภิกษุทั้งหลาย ทางที่ผู้ต้องการพระนิพพานควรดำเนินไป นี้เป็นหนทางเดียว หมายความว่า   (๑) เป็นทางที่บุคคลผู้ละการเกี่ยวข้องกับหมู่คณะ ไปประพฤติธรรมอยู่แต่ผู้เดียว (๒) เป็นทางสายเดียวที่พระพุทธเจ้าทรงทำให้เกิดขึ้น เป็นทางของบุคคลผู้เดียว คือ พระผู้มีพระภาค  เพราะทรงทำให้เกิดขึ้น (๓) เป็นทางปฏิบัติในศาสนาเดียวคือพระพุทธศาสนา (๔) เป็นทางดำเนินไปสู่จุด หมายเดียว คือพระนิพพาน เพื่อล่วงโสกะและปริเทวะ เพื่อดับทุกข์และโทมนัส เพื่อบรรลุ อริยมรรค  เพื่อทำให้ แจ้งนิพพาน ทางนี้คือสติปัฏฐาน ๔ ประการ สติปัฏฐาน ๔ ประการ อะไรบ้าง คือ  ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ๑. พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ  กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกได้ ๒. พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่ มีความเพียร มี สัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกได้ ๓. พิจารณาเห็นจิตในจิต...

จังกีสูตร

รูปภาพ
บทวิเคราะห์ กาปทิกะเป็นผู้มีความรอบรู้มากจึงตั้งคำถามถามพระพุทธเจ้าว่า ความรู้จากตำราที่เป็นที่นับถือบ้าง ที่ถ่ายทอดมาจากครูบาอาจารย์บ้าง เชื่อว่าเป็นความรู้ที่ถูกต้องควรยึดไว้ปฎิบัติ ความรู้นอกจากนั้นไม่ควรยึดถือไว้ปฎิบัติใช่หรือไม่? พระพุทธองค์เป็นผู้ที่ไม่ชอบใช้วิธีหักล้างความรู้เดิมของผู้อื่น จึงกล่าวให้ความรู้แก่มาณพกาปทิกะว่า ความรู้ในข้อปฎิบัติที่รับมานั้นมีองค์ธรรมประกอบด้วย ๕ อย่าง ให้ผล ๒ อย่าง ๑. รับความรู้มาปฎิบัติ เพราะ ศรัทธา ๒.  รับความรู้มาปฎิบัติ เพราะ  ความชอบใจ ๓. รับความรู้มาปฎิบัติ เพราะ ฟังตามๆกันมา ๔.  รับความรู้มาปฎิบัติ เพราะ  ตรงกับประสบการณ์ของตน ๕.  รับความรู้มาปฎิบัติ เพราะ  เข้ากันได้กับแนวคิดของตน จากธรรมทั้ง ๕ นี้ มีผลเป็น ๒ ทางคือ ๑. เรื่องที่คิดว่าจริง กลับเป็นเท็จ ก็ได้ ๒. เรื่องที่คิดว่าเท็จ กลับเป็นจริง ก็ได้ มาณพหนุ่มจึงถามพระผู้มีพระภาคเจ้าต่อว่า ก็แล้วอย่างนั้นจะรู้ได้อย่างไร สิ่งไหนควรเชื่อยึดถือปฎิบัติ สิ่งไหนไม่ควร พระพุทธองค์จึงให้แง่คิดไว้ว่า การปฎิบัติตามข้อบัญญัติหรือศีล ที่พระพุทธองค์กำหนดไว้ก็ถือว่าปฎิดีแล้ว ...