แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ปริจเฉทที่ ๑ จิตตสังคหวิภาค แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ปริจเฉทที่ ๑ จิตตสังคหวิภาค แสดงบทความทั้งหมด

โลกุตรจิต ๘

โลกุตรจิต เป็นจิตที่พ้นจากโลก หมายความว่า เป็นจิตที่มีอารมณ์เหนือสภาวธรรมที่มีอยู่ในโลก หรือเป็นจิตที่มีความสามารถรับอารมณ์พิเศษที่เหนือโลก คือ นิพพานอารมณ์ จิตเหล่านี้มีจำนวน ๘ ดวง และสามารถรับนิพพพานอารมณ์ โดยแน่นอนอย่างเดียว จึงเรียกจิต ๘ ดวงนี้ว่า โลกุตรจิต

โลกุตตรจิตฺต เมื่อแยกศัพท์ ย่อมได้แก่ โลก  + อุตฺตร + จิตฺต = โลกุตตรจิตฺต โลก หมายถึง โลกทั้ง ๓ คือ กามโลก (กามภูมิ) รูปโลก (รูปภูมิ) และอรูปโลก (อรูปภูมิ) หรืออีกนัยหนึ่ง “โลก” หมายถึง สิ่งที่ต้อง แตกดับ สูญสิ้นไป เป็นธรรมดา “อุตตร” หมายความว่า เหนือ หรือ พ้น โลกุตรจิต จึงหมายถึงจิตที่เหนือโลกทั้ง ๓ หรือจิตที่พ้นจากการท่องเที่ยวไปในโลกทั้ง ๓ หมายความว่า จิตนี้มีอารมณ์ที่เหนือโลก มีอารมณ์ที่พ้นจากโลก กล่าวคือ โลกุตรจิต มีนิพพานเป็นอารมณ์ และนิพพานนี้จัดเป็นธรรมที่พ้นโลก เป็นธรรมที่เหนือโลกทั้ง ๓

โลกุตรจิต เป็นจิตที่มีอารมณ์พ้นจากการเกิดดับนั้น ก็มิได้หมายความว่าจิตจะไม่เกิด-ดับ จิตก็ยังคงมีอาการเกิดดับตามสภาพของจิต เป็นจิตที่รับอารมณ์พิเศษอันพ้นจากการเกิดดับ อารมณ์ที่กล่าวถึงนี้ ก็คือ “นิพพาน” เป็นอารมณ์ที่ไม่มีการเกิดดับ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความพินาศ เป็นธรรมที่พ้นจากการถูกปรุงแต่งเป็นอสังขตธรรม

ธรรมดาธรรมทั้งหลายที่เป็นไปในโลกทั้ง ๓ ย่อมเกิดดับทั้งสิ้น แต่นิพพานเป็นธรรมที่ไม่มีการเกิดดับ เป็นธรรมที่พ้นจากการเกิดดับ นิพพานจึงเป็นธรรมที่พ้นไปจากโลก เป็นธรรมที่เหนือโลก พ้นจากการปรุงแต่งด้วยปัจจัยธรรม คือ กรรม จิต อุตุ และอาหาร ทั้งสิ้น

คาถาสังคหะ
จตุมคฺคปฺปเภเทน จตุธา กุสลนฺตถา
ปากนฺตสฺส ผลตฺตาติ อฏฺฐธานุตฺตรํ มตํฯ

แปลความว่า โลกุตรจิตโดยย่อ มี ๘ คือ โลกุตรจิตว่าโดยประเภทแห่งมรรคมี ๔ และโลกุตรวิบากจิต ซึ่งเป็นผลของโลกุตรกุศลจิต ก็มี ๔

🔅 จำแนกโลกุตรจิต ๘ โดยประเภทแห่งชาติ

โลกุตรจิต ๘ นั้น มีอยู่ ๒ ชาติ คือ : -

  • ๑. ชาติกุศล ชื่อว่า โลกุตรกุศลจิต หรือ มัคคจิต มีจำนวน ๔ ดวง เรียกตามชื่อของญาณที่เกิดในขณะจิตนั้นๆ เพราะเป็นจิตประเภทที่ประกอบด้วยอริยมรรค
  • ๒. ชาติวิบาก ชื่อว่า โลกุตรวิบากจิต หรือ ผลจิต เพราะเป็นผลของโลกุตรกุศลจิต จึงมีจำนวน ๔ ดวงเหมือนกัน

จึงรวมเป็นโลกุตรจิต ๘ ดวง จำง่ายๆ ว่า มรรค คือ กุศล ผล คือ วิบาก ซึ่งมีความหมายว่า มัคคจิต เป็นชาติกุศล และผลจิต เป็นชาติวิบาก

👉ข้อควรสังเกต โลกุตรจิตนี้ มีแต่โลกุตรกุศล และโลกุตรวิบากเท่านั้นไม่มีโลกุตรกิริยาด้วยเลย ทั้งนี้ เพราะถ้ามีโลกุตรกิริยา ก็ย่อมหมายถึงโลกุตรกุศลที่เกิดขึ้นในสันดานของพระอรหันต์ ทำนองเดียวกับมหากุศล หรือมหัคคตกุศล ถ้าเกิดขึ้นในสันดานของพระอรหันต์ ที่ชื่อว่า มหากิริยา หรือมหัคคตกิริยา และทั้งมหากิริยาและมหัคคตกิริยานั้น ย่อมสามารถเกิดขึ้นได้บ่อยๆ ในสันดานของพระอรหันต์

แต่ส่วนมัคคจิตนั้น เกิดได้เพียงมรรคละครั้งเดียว คือ โสดาปัตติมรรค, สทาคามิมรรค, อนาคามิมรรค ตลอดจนอรหัตมรรค จะเกิดได้มรรคละครั้งเดียวเท่านั้น เพราะมัคคจิตนั้นเกิดขึ้นได้แต่ละครั้ง เพื่อกิจในการประหาณอนุสัยกิเลสให้เป็นสมุจเฉทปหาน เมื่อบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว ไม่มีกิเลสเหลืออยู่แม้แต่น้อย จึงไม่ต้องมีมัคคจิต เพื่อประหาณกิเลสอีก ฉะนั้น โลกุตรกิริยา จึงไม่มี

โลกุตรธรรม หมายถึง มัคคจิต ๔ ผลจิต ๔ และนิพพาน ๑ รวมสภาวะที่เป็นโลกุตรธรรม มี ๙ ประเภท โลกุตรจิต ๘ แม้เป็นโลกุตรธรรม แต่ยังเป็นสังขตธรรมอยู่ นิพพานเท่านั้นที่เป็นทั้งโลกุตรธรรม และอสังขตธรรมด้วย

🔅 โลกุตรกุศล หรือ มัคคจิต

โลกุตรกุศล มีความหมายเป็นหลายนัย คือ

  • นัยที่ ๑ โลกุตรกุศล หมายความว่า เป็นกุศลที่ทำให้ข้ามพ้นจากโลกทั้ง ๓ คือ กามโลก ได้แก่ กามภูมิ ๑๑, รูปโลก ได้แก่ รูปภูมิ ๑๖ และ อรูปโลก ได้แก่ อรูปภูมิ ๔
  • นัยที่ ๒ โลกุตรกุศล หมายความว่า เป็นกุศลที่ข้ามพ้นจากความเป็นปุถุชน สู่ความเป็นอริยบุคคล
  • นัยที่ ๓ โลกุตรกุศล หมายถึง กุศลจิตที่เกิดขึ้นรับ โลกุตรอารมณ์ คือ นิพพาน
  • นัยที่ ๔ โลกุตรกุศล หมายความว่า เป็นกุศลจิตที่มีอำนาจเหนือโลกียกุศลด้วยเหตุว่า ดับอกุศล หรือ ประหาณกิเลสให้เป็นสมุจเฉทปหาน

กุศลอันเป็นไปในภูมิทั้ง ๓ ที่ชื่อว่า โลกียกุศล นั้น ย่อมก่อ จุติ และปฏิสนธิ ทำให้สัตว์เจริญอยู่ในวัฏฏะ ฉะนั้น โลกียกุศล อันเป็นไปในภูมิทั้ง ๓ จึงชื่อว่าเป็น อาจยคามี หรือ วัฏฏคามินีกุศล แต่ในโลกุตรกุศลนั้น ย่อมเป็นไปโดยนัยที่ตรงกันข้าม คือ โลกุตรกุศลนี้ ย่อมรื้อทำลายจุติและปฏิสนธิแห่งสัตว์ที่โลกียกุศลก่อไว้แล้วโดยกระทำความบกพร่องแห่งปัจจัยธรรมที่เป็นเหตุให้เกิด โลกุตรกุศลนี้ชื่อว่า อปจยคามี หรือ วิวัฏฏคามินีกุศล

โลกุตรกุศลจิต หรือ มัคคจิตนี้ กล่าวโดยย่อ มีจำนวน ๔ ดวง คือ : -

๑. โสดาปัตติมัคคจิต เป็น มัคคจิต ดวงที่ ๑
๒. สกทาคามิมัคคจิต เป็น มัคคจิต ดวงที่ ๒
๓. อนาคามิมัคคจิต เป็น มัคคจิต ดวงที่ ๓
๔. อรหัตมัคคจิต เป็น มัคคจิต ดวงที่ ๔

อธิบาย
นัยที่ ๑
โลกุตรกุศล หมายถึง เป็นกุศลที่ข้ามพ้นจากโลกทั้ง ๓ นั้น คือ
- โสตาปัตติมัคคจิต กับ สกทาคามีมัดจิต ทำให้ข้ามพ้นจากกามโลกได้ ๔ ภูมิ คือ อบายภูมิ ๔
- อนาคามีมรรค ทำให้ข้ามพ้นจากกามโลกทั้งหมด คือ กามภูมิทั้ง ๑๑ ภูมิ
- อรหัตมัคคจิต ทำให้ข้ามพ้นจากโลกทั้ง ๓ คือ กามโลก, รูปโลก, อรูปโลก



นัยที่ ๒ โลกุตรกุศล หมายถึง กุศลที่ทำให้ข้ามพ้นจากความเป็นปุถุชนสู่ความเป็นอริยบุคคล คือ
    โสดาปัตติมัคคจิต ทำให้เป็น โสดาปัตติมัคบุคคล
    สกทาคามิมัคคจิต ทำให้เป็น สกทาคามิมัคบุคคล
    อนาคามิมัคคจิตทำให้เป็น อนาคามิมัคบุคคล   
    อรหัตมัคคจิต ทำให้เป็น อรหัตมัคบุคคล

นัยที่ ๓ โลกุตรกุศล หมายถึง จิตที่เกิดขึ้นรับโลกุตรอารมณ์ คือ พระนิพพานนั้น เพราะพระนิพพานเป็นอารัมมณปัจจัยให้แก่มัคคจิต ๔ กล่าวคือ โลกุตรกุศลจิต ๔ ดวงนี้ เกิดขึ้นได้ด้วยอำนาจของพระนิพพานเป็นปัจจัยเพราะพระนิพพานนั้นเป็นโลกุตรธรรม มัคคจิตทั้ง ๔ ดวงนี้ จึงเรียกว่า โลกุตรกุศล เพราะเป็นกุศลธรรมที่เกิดจากโลกุตรธรรม

นัยที่ ๔ โลกุตรกุศล หมายถึง กุศลจิตที่มีอำนาจดับอกุศล หรือประหาณกิเลสได้ เป็นสมุจเฉทปหาน


🔅 ลักษณะของการประหาณกิเลส

กิเลส คือ ธรรมที่เศร้าหมองเร่าร้อน ในพระอภิธรรมได้แบ่งกิเลสตามอาการ แสดงออกได้เป็น ๓ ชั้น คือ :-    ก. วีติกกมกิเลส หมายถึง กิเลสอย่างหยาบที่สามารถก่อให้เกิดการ เคลื่อนไหวออกมาทางกายทวาร หรือวจีทวารได้ เป็น ทุจริตกรรม กิเลสชนิดนี้ ประหาณได้ด้วยศีล เป็นการสงบระงับชั่วครั้งชั่วคราว ขณะที่ยังมีการรักษาศีลอยู่ การประหารกิเลสได้ชั่วขณะนี้ เรียกว่า ตหังคปหาน

ข. ปริยุฏฐานกิเลส หมายถึง กิเลสอย่างกลางที่เกิดอยู่ภายในมโนทวาร ไม่ถึงกับแสดงอาการล่วงออกมาทางกายทวารหรือวจีทวาร นิวรณ์กิเลสชนิดนี้ประหาณได้ด้วยสมาธิ คือฌาน ย่อมดับไว้หรือระงับไว้ได้ตามอำนาจของฌาน ได้นานตราบ เท่าที่ฌานยังไม่เสื่อม เรียกว่า วิกขัมภนปหาน

ค. อนุสัยกิเลส หมายถึงกิเลสอย่างละเอียดที่นอนเนื่องอยู่ในขันธสันดาน อันไม่มีใครอื่นที่สามารถจะรู้ได้ นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อนุสัยกิเลสชนิดนี้ต้อง ประหาณด้วยปัญญาในมัคคจิต และมัคคจิตนี้เอง ที่สามารถประหาณกิเลสได้หมดสิ้น สูญเชื้อ ไม่กลับมีขึ้นมาใหม่อีก เรียกการประหาณนี้ว่า “สมุจเฉทปหาน”

สรุปความว่า

วิติกกมกิเลส ต้องประหาณด้วยมหากุศลจิตที่เกี่ยวกับศีล เป็น ตทังคปหาน
ปริยุฏฐานกิเลส ต้องประหาณด้วยมหัคคตกุศลจิต เป็น วิกขัมภนปหาน   
อนุสัยกิเลส ต้องประหาณด้วยมัคคจิต เป็น สมุจเฉทปหาน


🔅 การประหาณกิเลสชนิดสมุจเฉทปหาน

กิเลส อันเป็นที่ยังจิตให้เศร้าหมองเร่าร้อนนี้ ย่อมเกิดพร้อมและประกอบด้วยอกุศลจิตเท่านั้น ฉะนั้นการประหาณกิเลสก็เท่ากับประหาณอกุศลจิตนั่นเอง ในพระอภิธัมมัตถสังคหะ แสดงอกุศลไว้ ๙ กอง คือ :-   

  • ๑. อาสวะ เป็นธรรมที่เป็นเครื่องหมักดองอกุศล มี ๔ อย่าง คือ :-
    - กามาสวะ ความยินดีใน รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ
    - ภวาสวะ ความยินดีในภพภูมิต่าง ๆ 
    - ทิฏฐาสวะ ความยินดีตามความเห็นผิด
    - อวิชชาสวะ ความยินดีในความไม่รู้ตามความเป็นจริง 
  • ๒. โอฆะ เป็นธรรมอันเปรียบเสมือนห้วงน้ำ อันยังสัตว์ทั้งหลายให้จมอยู่ใน สังสารวัฏ คือ :-
    - กาโมฆะ ความยินดีใน รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ
    - ภโวฆะ ความยินดีในอัตภาพและภพภูมิต่าง ๆ 
    - ทิฏโฐฆะ ความยินดีในความเห็นผิด
    - อวิชโชฆะ ความยินดีในความไม่รู้ตามความเป็นจริง 
  • ๓. โยคะ เป็นธรรมที่เป็นเครื่องประกอบสัตว์กับภพภูมิต่าง ๆ ไว้ มี ๔ คือ :-
    - กามโยคะ คือ ความยินดีในกามคุณอารมณ์ทั้ง ๕
    - ภวโยคะ คือ ความยินดีในภพภูมิต่าง ๆ
    - ทิฏฐิโยคะ คือ ความยินดีในความเห็นผิด
    - อวิชชาโยคะ คือ ความยินดีในความไม่รู้ตามความเป็นจริง 
  • ๔. คันถะ เป็นธรรมที่เป็นเครื่องผูกสัตว์ไว้ไม่ให้หลุดรอดพ้นไปจากโลกได้ มี ๔ คือ : -
    - อภิชฌากายคันถะ ได้แก่ ความโลภทั้งหลาย
    - พยาปาทกายคันถะ ได้แก่ ความโกรธทั้งหลาย
    - สีลัพตปรามาสกายคันถะ ได้แก่ ลูบคลำข้อปฏิบัติที่ผิด
    - อิทังสัจจาภินิเวสกายคันถะ ได้แก่ ยึดความเห็นผิดอย่างเหนียวแน่น 
  • ๕. อุปาทาน เป็นธรรมที่เป็นเครื่องยึดถือให้ผูกพันอยู่กับความเป็นไปในโลก มี ๔ คือ :-
    - กามุปาทาน ได้แก่ ความยึดถือติดอยู่กับภพและกามคุณอารมณ์
    - ทิฏฐุปาทาน ได้แก่ ยึดมั่นอยู่ในความเห็นผิด
    - อัตตวาทุปาทาน ได้แก่ ยืดความเห็นผิดว่ามีตัวตน 
    - สีลัพพัตตุปาทาน ได้แก่ ถือการปฏิบัติที่ผิด เพราะไม่รู้ข้อปฏิบัติอันไหนที่จะ นำให้พ้นทุกข์อย่างถูกต้อง
  • ๖. นิวรณ์ เป็นธรรมที่เป็นเครื่องกั้นความดี มี ๖ อย่าง คือ : -
    - กามฉันทนิวรณ์ ได้แก่ ความยินติดใจในกามคุณอารมณ์
    - พยาปาทนิวรณ์ ได้แก่ ความไม่พอใจในอารมณ์ต่าง ๆ
    - ถีนมิทธนิวรณ์ ได้แก่ ความที่จิตหดหู่ท้อถอยจากอารมณ์ต่าง ๆ
    - อุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์ ได้แก่ ความฟุ้งซ่านรำคาญใจในอารมณ์ต่าง ๆ
    - วิจิกิจฉานิวรณ์ ได้แก่ ความสงสัยลังเลใจ
    - อวิชชานิวรณ์ ได้แก่ ความไม่รู้ในสัจจธรรม
  • ๗. อนุสัย เป็นธรรมที่นอนเนื่องอยู่ในขันธสันดาน มี ๗ อย่าง คือ : -
    - กามราคานุสัย ได้แก่ ความยินดีในกามคุณอารมณ์
    - ทิฏฐานุสัย ได้แก่ ความเห็นผิด
    - ปฏิฆานุสัย ได้แก่ ความไม่พอใจในอารมณ์ต่าง ๆ
    - ภวราคานุสัย ได้แก่ ความยินดีในความเป็นอยู่แห่งภพ
    - มานานุสัย ได้แก่ ความอวดดื้อถือตัว
    - วิจิกิจฉานุสัย ได้แก่ ความลังเลสงสัยในสภาวธรรม
    - อวิชชานุสัย ได้แก่ ความไม่รู้ในสัจจธรรม
  • ๘. สัญโภญชน์ เป็นธรรมที่เป็นเครื่องร้อยรัดสัตว์ทั้งหลายไว้ในสังสารวัฏมี ๑๐ อย่าง คือ :-
    - กามราคสัญโญชน์ ได้แก่ ความยินดีในกามคุณอารมณ์
    - ภวราดสัญโญชน์ ได้แก่ ความยินดีในความเป็นอยู่แห่งภพ
    - มานสัญโญชน์ ได้แก่ ความอวดดื้อถือตัว
    - ทิฏฐิสัญโญชน์ ได้แก่ ความเห็นผิด
    - วิจิกิจฉาสัญโญชน์ ได้แก่ ความลังเลสงสัยในเหตุผลแห่งธรรม
    - สีลัพพัตตปรามาสสัญโญชน์ ได้แก่ ถือปฏิบัติที่ผิด คิดว่า พ้นทุกข์ได้
    - อิสสาสัญโญชน์ ได้แก่ ความไม่อยากให้คนอื่นดีกว่าตน
    - มัจฉริยสัญโญชน์ ได้แก่ ความหวงแหนในสมบัติของตน
    - ปฏิฆสัญโญชน์ ได้แก่ ความไม่ชอบใจในอารมณ์ต่าง ๆ
    - อวิชชาสัญโญชน์ ได้แก่ ความไม่รู้สัจธรรม
  • ๙. กิเลส เป็นธรรมที่เป็นเครื่องเศร้าหมอง มี ๑๐ อย่าง คือ
    - โลภกิเลส ได้แก่ ความโลภ
    - โทสกิเลส ได้แก่ ความโกรธ
    - โมหกิเลส ได้แก่ ความหลง
    - มานกิเลส ได้แก่ ความถือตน
    - ทิฏฐิกิเลส ได้แก่ ความเห็นผิด
    - วิจิกิจฉากิเลส ได้แก่ ความลังเลสงสัย
    - ถีนกิเลส ได้แก่ ความท้อถอย
    - อุทธัจจกิเลส ได้แก่ ความฟุ้งซ่าน
    - อหิริกกิเลส ได้แก่ ความไม่ละอายต่อบาปทุจริต
    - อโนตตัปปกิเลส ได้แก่ ความไม่กลัวต่อบาปทุจริต


🔅 
มัคคจิตทำลายอกุศล

มัคคจิต หรือ โลกุตรจิต ทำลายอกุศล ๙ กอง ดังนี้ คือ

โสดาปัตติมัคคจิต 
ทำลาย 
- อาสวะ ได้ ๑ คือ ทิฏฐาสวะ
- โอฆะ ได้ ๑ คือ ทิฏโฐฆะ
- โยคะ ได้ ๑ คือ ทิฏฐิโยคะ
- คันถะ ได้ ๒ คือ สีลัพพัตตปรามาส และ อิทังสัจจาภินิเวส
- อุปาทาน ได้ ๓ คือ ทิฏฐปาทาน, อัตตวาทุปาทาน, สีลัพพัตตุปาทาน
- นิวรณ์ ได้ ๒ คือ วิจิกิจฉานิวรณ์, กุกกุจจนิวรณ์
- อนุสัย ได้ ๒ คือ ทิฏฐานุสัย, วิจิกิจฉานุสัย
- สัญโญชน์ ได้ ๕ คือ ทิฏฐิสัญโญชน์, วิจิกิจฉาสัญโญชน์, อิสสาสัญโญชน์, มัจฉริยสัญโญชน์, สีลัพพัตตปรามาสสัญโญชน์
- กิเลส ได้ ๒ คือ มิจฉาทิฏฐิ, วิจิกิจฉา

สกทาคามิมัคคจิต หรือ มัคคจิตดวงที่ ๒ นั้น ทำลายอกุศลส่วนหยาบๆ ที่เหลือจากโสดาปัตติมัคคจิตได้ทำลายมาแล้ว และการทำลายอกุศลของสกทาคามิมัคคจิตนี้ เพียงแต่ทำลายอกุศลให้เบาบางลงเท่านั้น

อนาคามิมัคคจิต ทำลาย
- อาสวะ ได้ ๑ คือ กามาสวะ
- โอฆะ ได้ ๑ คือ กาโมฆะ
- คันถะ ได้ ๑ คือ พยาปาทกายคันถะ
- นิวรณ์ ได้ ๒ คือ กามฉันทนิวรณ์ และ พยาปาทนิวรณ์
- อนุสัย ได้ ๒ คือ กามราคานุสัย, ปฏิฆานุสัย
- สัญโญชน์ ได้ ๒ คือ กามราคสัญโญชน์ และ ปฏิฆสัญโญชน์
- กิเลส ได้ ๑ คือ โทสกิเลส

อรหัตมัคคจิต ทำลายอกุศลที่เหลือทั้งหมด ที่เป็นส่วนเหลือจากมรรคเบื้องต่ำทั้ง ๓ ยังไม่ได้ทำลาย


🔅 
การละอกุศลกรรมบถโดยล่าดับของมัคคจิต

ปาณาติปาต                โสดาปัตติมัคคจิตละได้โดยเด็ดขาด เป็นสมุจเฉทปหาน
อทินนาทาน                                                        "
กาเมสุมิจฉาจาร                                                  "
มุสาวาท                                                              "
มิจฉาทิฏฐิ                                                           "

อกุศลกรรมบถที่เหลือ สกทาคามิมัคคจิตละได้โดยกระทำให้เบาบางลงเป็นตนุกรปหาน

ปิสุณวาจา                   อนาคามิมัคคจิตละได้โดยเด็ดขาด เป็นสมุจเฉทปหาน
ผรุสวาจา                                                            "
พยาปาท                                                            "

สัมผัปปลาปะ              อรหัตมัคคจิตละได้โดยเด็ดขาด เป็นสมุจเฉทปหาน
อภิชฌา                                                            "


🔅 โลกุตรวิบาก หรือ ผลจิต

โลกุตรวิบากจิต หรือผลจิตนี้ เป็นจิตที่เป็นผลของโลกุตรกุศลจิตหรือมัคคจิตนั่นเอง กล่าวคือ เมื่อมัคคจิตเกิดขึ้นพร้อมกับการประหาณกิเลสไปแล้ว ผลจิตก็จะเกิดติดต่อขึ้นในทันทีโดยไม่มีระหว่างคั่น คือ ไม่มีจิตประเภทอื่นใดเกิดขึ้นมาแทรกแซงคั่นกลางไว้เลย เมื่อมัคคจิตเกิดและดับลงแล้ว ผลจิตก็เกิดทันที จึงเรียกมัคคจิตและผลจิตนี้ว่า เป็น อกาลิโก คือ เป็นเหตุให้ผลจิตเกิดขึ้นในปัจจุบันทันใดไม่ต้องรอเวลาแห่งการเกิดขึ้นของจิตเลย ผลจิตนี้จะต้องเกิดขึ้นทันทีที่มัคคจิตดับลงเพื่อเสวยผลเนื่องจากการประหาณกิเลสของมัคคจิตโดยเฉพาะ ๆ แต่ละประเภทของมรรคทั้ง ๔ ฉะนั้น โลกุตรวิบากจิตหรือผลจิตจึงมีจำนวน ๔ ดวง เท่ากันกับมัคคจิต คือ

๑. โสดาปัตติผลจิต
๒. สกทาคามิผลจิต
๓. อนาคามิผลจิต
๔. อรหัตผลจิต


🙏 อรรถแห่งโลกุตรจิต ๘ 🙏 

พระโสดาบัน

ต่อไปนี้จะได้แสดงความหมายของโลกุตรจิต โดยมัคคจิตและผลจิตไปตามลำดับ

๑. โสตาปตฺติมคฺคจิตฺต เมื่อแยกศัพท์ออกแล้วได้ ๔ ศัพท์ คือ โสต + อาปตฺติ + มคฺค + จิตฺต

  • โสต แปลว่า กระแสน้ำ หรือหมายถึงองค์มรรค ๘ ที่มีสภาพเหมือนกระแสน้ำ
  • อาปตฺติ แปลว่า เข้าถึงอริยมรรคครั้งแรก
  • มคฺด แปลว่า ทาง หมายถึง องค์มรรค ๘
  • จิตฺต แปลว่า จิต หมายถึง จิตที่ประกอบองค์มรรค ๘

รวมความแล้ว โสดาปัตติมัคคจิต มีอรรถว่า เป็นจิตที่ประกอบด้วยองค์มรรค ๘ ที่มีสภาพเหมือนกระแสน้ำที่ไหลเข้าสู่อริยมรรค หรือเข้าถึงพระนิพพานเป็นครั้งแรก มีพระบาลีแสดงว่า “สวติ สุนฺทตีติ โสโต” แปลโดยอรรถว่า กระแสน้ำชื่อว่า โสต เพราะเป็นผู้ไหลไปไม่ทวนกลับ ได้แก่ กระแสน้ำที่ไหลอยู่ในแม่น้ำ หรือ “โสโต วิยาตีติ = โสโต” อริยมรรค ๘ ชื่อว่า โสตะ เพราะเหมือนกระแสน้ำ “อาทิโต ปชฺชนํ = อาปตฺติ" การเข้าถึงอริยมรรคครั้งแรก ชื่อว่า อาปตฺติ “โสตสฺส อาปตฺติ = โสตาปตฺติ" การเข้าถึงอริยมรรคที่สภาพเหมือนกระแสน้ำ ของปุถุชนเป็นครั้งแรก ชื่อ “โสตาปตฺติ” 

“นิพฺพานตฺถิเกหิ มคฺคียตีติ = มคฺโค” ทางสายกลาง คือ องค์มรรค ๘ ที่ผู้ปรารถนานิพพานทั้งหลายควรได้แสวงหา ฉะนั้น ทางสายกลาง จึงชื่อว่า “มรรค” หรือ “กิเลเส มาเรนุโต คจฺฉตีติ = มคฺโค” ทางสายกลาง คือ องค์มรรค ๘ นี้ เป็นผู้ประหาณกิเลส และเป็นผู้เข้าถึงพระนิพพานทางสายกลางนี้ จึงชื่อว่า “มรรค

โสตาปตฺติ จ สา มคฺโค จาติ = โสตาปตฺติมคฺโค ทางสายกลาง คือ องค์มรรค ๘ เป็นผู้เข้าถึงอริยมรรค ที่มีสภาพเหมือนกระแสน้ำเป็นครั้งแรกด้วย และเป็นทางที่ควรแสวงหาด้วย จึงชื่อว่า “โสดาปัตติมรรค" ที่มีสภาพเหมือนกระแสน้ำเป็นครั้งแรกด้วย เป็นผู้ประหารกิเลส และเป็นผู้เข้าถึงพระนิพพานด้วย จึงชื่อว่า “โสดาปัตติมรรค"

โสตาปตฺติ มคฺเคน สมปยุตตํ จิตฺตนฺติ = โสตาปตฺติมคฺคจิตตํ จิตที่ประกอบกับองค์มรรค ๘ ซึ่งเป็นผู้เข้าถึงอริยมรรคที่มีสภาพเหมือนกระแสน้ำเป็นครั้งแรกด้วย เป็นทางที่ควรแสวงหาด้วย จึงชื่อว่า โสดาปัตติมรรค หรืออีกนัยหนึ่งจิตที่ประกอบกับองค์มรรค ๘ ซึ่งเป็นผู้เข้าถึงอริยมรรคที่มีสภาพเป็นกระแสน้ำเป็นครั้งแรกด้วย เป็นผู้ประหาณกิเลส และเป็นผู้เข้าถึงพระนิพพานด้วย ชื่อว่า “โสดาปัตติมัคคจิต”

เมื่อโสดาปัตติมัคคจิตเกิดขึ้น ย่อมสำเร็จกิจดังนี้ คือ

๑. โสดาปัตติมัคคจิต เกิดแก่บุคคลใด บุคคลนั้นชื่อว่าโสดาปัตติมรรคบุคคล
๒. โสดาปัตติมัคคจิต ทำให้พ้นจากกามภูมิในส่วนที่เป็นอบายภูมิ ๔ คือ นรก เปรต อสุรกาย และเดรัจฉาน
๓. โสดาปัตติมัคคจิต เกิดขึ้นพร้อมกับการประหาณกิเลสทำลายอกุศลจิต ๕ ดวง ไม่ให้เกิดขึ้นอีกต่อไป คือ โลภจิตที่มีทิฏฐิสัมปยุต ๔ ดวง และ โมหจิตที่มีวิจิกิจฉาสัมปยุต ๑ ดวง และนอกจากนั้น ยังให้กิเลสที่ประกอบในทิฏฐิคตวิปปยุตจิต ๔ ดวง และโทสมูลจิต ๒ ดวง เบาบางลง จนไม่อาจจะนำไปสู่อบายภูมิได้


๒.โสดาปัตติผลจิต
เป็นโลกุตรจิตดวงที่ ๒ เกิดขึ้นเพื่อเสวยสันติสุขที่โสดาปัตติมัคคจิตประหาณอนุสัยกิเลสลงแล้ว กล่าวคือ เมื่อโสดาปัตติมัคคจิตเกิดขึ้นประหาณอนุสัยกิเลสและดับไป ทันใดนั้น โสดาปัตติผลจิตก็จะเกิดขึ้นเสวยผลที่เป็นสันติสุขอันเกิดแต่โสดาปัตติมัคคจิตได้ประหาณอนุสัยกิเลสลงแล้ว

หรืออีกนัยหนึ่ง โสดาปัตติผลจิต ย่อมเกิดขึ้นได้ในโอกาสที่พระโสดาบันเข้าผลสมาบัติ เมื่อโสดาปัตติผลจิตเกิด ย่อมให้สำเร็จกิจดังนี้ คือ
    ๑) โสดาปัตติผลจิตเกิดขึ้นแก่บุคคลใด บุคคลนั้นได้ชื่อว่าโสดาปัตติผลบุคคล หรือที่เรียกว่า พระโสดาบัน หรือบางทีก็เรียกว่า “เสกขบุคคล” คือบุคคลที่ยังจะต้องศึกษาต่อไปอีก จนกว่าจะพ้นจากสภาวะที่ไม่ต้องศึกษาต่อไปอีกเป็นอเสกขบุคคล หรือ พระอรหันต์
    ๒) โสดาปัตติผลจิต ทำให้พ้นจากอบายภูมิโดยเด็ดขาด กล่าวคือพระโสดาบัน เมื่อจุติย่อมไม่ไปปฏิสนธิในอบายภูมิอีก เพราะได้ทำลายอกุศลกรรมที่เป็นตัวการนำไปสู่อบายได้อย่างเด็ดขาดแล้ว
    ๓)โสดาปัตติผลจิต ย่อมเกิดขึ้น เพื่อเสวยสันติสุขจากการประหาณทิฏฐิและวิจิกิจฉา ที่ละได้แล้วโดยเด็ดขาด

ประเภทของพระโสดาบัน พระพุทธองค์ทรงแสดงเทศนาจำแนกพระโสดาบันได้เป็น ๓ ประเภท โดยกำหนดภพชาติไว้เป็นที่แน่นอน คือ

๑. เอกพีซีโสดาบัน คือ พระโสดาที่มีชาติกำเนิดอีกชาติเดียว เอกํ พีชํ อสุสาติ = เอกพิซี เป็นพระโสดาบันที่จะต้องปฏิสนธิต่อไปอีกชาติเดียวก็จะบรรลุอรหัต แล้วก็จะเข้าปรินิพพานในชาตินั้น
๒. โกลังโกลโสดาบัน คือ พระโสดาบันผู้จะต้องมีพืชกำเนิดระหว่าง ๒-๖ ชาติ กุลโต กุลํ คจฺฉตีติ = โกล์โกโล เป็นพระโสดาบันที่จะต้องปฏิสนธิต่อไปอีกตั้งแต่ ๒ ถึง ๖ ชาติ เป็นอย่างมาก ก็จะบรรลุอรหัตผลแล้วจึงปรินิพพาน
๓. สัตตักขัตตุปรมโสดาบัน คือพระโสดาบันผู้ต้องมีพืชกำเนิดอีก ๗ ชาติ สตฺตกฺขตตุ ปรมํ อสุสาติ = สตฺตกฺขตตุปรโม เป็นพระโสดาบันที่จะต้องปฏิสนธิต่อไปอีกอย่างมากเพียง ๗ ชาติ ก็จะบรรลุอรหัตผลแล้วจึงปรินิพพาน

เหตุที่ทำให้พระโสดาบันบรรลุอรหัตผลต่างกัน การที่พระโสดาบันบรรลุอรหัตผลแตกต่างกันออกไปได้ ถึง ๓ ประเภทนั้นเพราะเหตุ ๒ ประการ คือ

  • ๑. ต่างกันด้วยกำลังแห่งอินทรีย์ ที่ได้สร้างสมอบรมมาแต่อดีต กล่าวคือ ถ้าในอดีตชาติได้อบรมอินทรีย์ คือ สัทธินทรีย์, วิริยินทรีย์, สตินทรีย์, สมาธินทรีย์และปัญญินทรีย์มาแล้วอย่างแก่กล้า ครั้นเมื่อได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน ก็จะเป็นเอกพิซีโสดาบัน ถ้าในอดีตชาติได้สร้างสมอบรมบารมีอินทรีย์มาปานกลางเมื่อบรรลุเป็นพระโสดาบัน ก็จะเป็น โกลังโกลโสดาบัน ถ้าในอดีตชาติได้สร้างสมอบรมบารมีอินทรีย์ไว้อย่างอ่อนเมื่อบรรลุเป็นพระโสดาบัน ก็จะเป็น สัตตักขัตตุปรมโสดาบัน
  • ๒. ต่างกันด้วยความมุ่งมั่นต่ออริยมรรคเบื้องบน ๓ กล่าวคือ ถ้าพระโสดาบันที่มีจิตมุ่งมั่นต่ออริยมรรคเบื้องบน ๓ ด้วยอุตสาหะ เพียรเจริญวิปัสสนา ด้วยกำลังเจตนาอันแรงกล้าก็เป็นเอกพีซีโสดาบัน ถ้าพระโสดาบันที่มีจิตมุ่งมั่นต่ออริยมรรคเบื้องบน ๓ ด้วยอุตสาหะ เพียรเจริญวิปัสสนาด้วยกำลังเจตนาอย่างปานกลาง ก็เป็นโกลังโกลโสดาบัน ถ้าพระโสดาบันมีจิตมุ่งมั่นต่ออริยมรรคเบื้องบน ๓ ด้วยอุตสาหะ เพียร เจริญวิปัสสนาด้วยกำลังเจตนาอย่างอ่อน ก็เป็น สัตตักขัตตุปรมโสดาบัน

พระโสดาบันที่กล่าวมาแล้วทั้ง ๓ ประเภทนี้ แม้จะแตกต่างกันด้วยการอบรมบารมีอินทรีย์ที่ยิ่งหย่อนกว่ากัน หรือแม้จะแตกต่างกันด้วยจิตที่มุ่งมั่นในอริยมรรคเบื้องบน และยิ่งหย่อนกว่ากันอย่างไรก็ตาม พระโสดาบันเหล่านั้น ก็จะไม่ต้องถือปฏิสนธิในภพชาติที่ ๘ อีก ดังปรากฏในสุตตนิบาตพระบาลีว่า "เย อริยสัจฺจาน วิภาวยนฺติ คมฺภีรปญฺเญน สุเทสิตานิ กิญฺจาปิ เต โหนฺติ ภุสปฺปมตฺตา น เต ภวํ อฏฺฐมมาทิยนฺติฯ" ชนเหล่าใดได้รู้แจ้งแทงตลอดอริยสัจ ๔ อันพระผู้มีพระภาคเจ้าแสดงไว้ดีแล้วนั้น ชนเหล่านั้น แม้ประมาทมากก็ไม่ถือเอาภพที่ ๘ คือจะเกิดได้อีกอย่างมากเพียง ๗ ชาติเท่านั้น ฉะนั้น พระอริยโสดาบันทั้ง ๓ ประเภทที่กล่าวนี้ พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงเทศนาการสิ้นสุดแห่งภพชาติไว้เป็นการแน่นอน

แต่ยังมีพระโสดาบันอีกประการหนึ่ง ที่ไม่นับรวมอยู่ในพระอริยโสดาบันประเภทที่กล่าวมานั้น พระอริยโสดาบันประเภทนี้ เรียกว่า "วัฏฏาภิรตโสดาบัน" เป็นพระอริยโสดาบันที่มีอัธยาศัยยังยินดีพอใจในวัฏฏะปรารถนาที่จะเที่ยวปฏิสนธิไปในเทวโลกทั้ง ๖ ชั้น ตลอดไปจนถึงอกนิฏฐภพ ดังปรากฏในบุคคลบัญญัติอรรถกถาว่า เอกจฺโจหิ โสตาปนฺโน วัฏฏชฺฌาสโย โหติ วุฎฏาภิรโต ปุนปฺปุนํ วัฏฺฏสมึเยว วิจรติ สนฺทิสฺสติ อนาถบิณฑิกเสฏฐิ วิสาขา อุปาฬิกา จูฬรตฺถ มหารตฺถ เทวปุตฺต อเนกวณฺโณ เทวปุตโต สกโก เทวราชา นาคทตฺโต เทวปุตโต อิเมหิ เอตตฺถาชนา วฎฺฏชฺฌาสยา วฎฺฏาภิรตา อาทิโต ปฏฐฺาย ฉ เทวโลกํ โสธิตฺวา อกนิฏฺเฐ จตวา ปรินิพฺพาเย สนฺติ อิเม อิเม น คหิตาฯ ยังมีพระโสดาบันบางจำพวก มีอัธยาศัยยินดีพอใจในวัฏฏะ ท่องเที่ยวไปปรากฏในวัฏฏะบ่อย ๆ ชนเหล่านั้น คือ อนาถบิณฑิกเศรษฐี วิสาขาอุบาสิกา จูฬรัตถเทพบุตร มหารัตถเทพบุตร อเนกวรรณเทพบุตร ท้าวสักกเทวราช นาคทัตตเทพบุตร ท่านเหล่านี้ยังมีอัธยาศัยยินดีพอใจในวัฏฏะ กระทำเทวโลกทั้ง ๖ ให้หมดจดตั้งแต่เริ่มต้น ก็จะดำรงอยู่ในอกนิฏฐภพ จึงจปรินิพพาน พระโสดาบันเหล่านี้ ท่านประมวลเข้าในสัตตักขัตตุปรมโสดาบัน

ฉะนั้น จึงมีข้อยกเว้นสำหรับวัฏฏภิรตโสดาบันว่า พระโสดาบันอาจถือปฏิสนธิมากกว่า ๗ ชาติก็ได้ แต่อีกมติหนึ่งว่า วัฏฏาภิรตโสดาบันนี้ หมายถึง พระโสดาบันที่ย่อมมีอายุขัยโดยตลอด จะไม่สิ้นชีวิตก่อนอายุขัย แต่จะไม่เกิน ๗ ชาติ


พระสกทาคามี

๓. สกทาคามิมคฺคจิตฺต
แยกศัพท์ออกได้ ๔ ศัพท์ คือ

สกึ (ครั้งเดียว) + อาคามี (กลับมา) + มคฺค (ทาง) + จิต แปลความว่า จิตที่จะกลับมาปฏิสนธิในมนุษยภูมิอีกเพียงครั้งเดียว ชื่อว่า “สกทาคามี” ดังบาลีที่แสดงไว้ในวิสุทธิมรรคมหาฎีกาว่า “สกึ เอกวาร์ ปฏิสนธิวเสน อิมํ มนุสฺสโลกํ อาคจฺฉตีติ” = สกทาคามี แปลความว่า พระอริยบุคคลส่วนมากที่จะกลับมาปฏิสนธิในมนุษย์ภูมิอีกเพียงครั้งเดียว ชื่อว่า สกทาคามี ตสฺส มคฺโค = สกทาคามิมคฺโคฯ ทางปฏิบัติของพระสกทาคามีนั้น ชื่อว่า สกทาคามิมรรค

เตน สมฺปยุตตํ จิตฺตํ = สกทาคามิมคฺคจิตตํ จิตที่ประกอบด้วยองค์ของสกทาคามิมรรค ชื่อว่า สกทาคามิมัคคจิต

เมื่อสกทาคามิมัคคจิตเกิดขึ้น ย่อมให้สำเร็จกิจดังนี้ คือ

  • สกทาคามิมัคคจิต เกิดขึ้นแก่บุคคลใด บุคคลนั้นชื่อว่า สกทาคามิมรรค
  • สกทาคามิมัคคจิต เกิดขึ้นพร้อมกับการประหาณกิเลส ที่เหลือจากโสดาปัตติมัคคจิตได้ประหาณมาแล้วโดยกระทำให้กิเลสเหล่านั้นเบาบางลงอีกเรียกว่า ตนุกรปหาน

๔. สกทาคามิผลจิต เป็นจิตที่เกิดขึ้นทันทีที่สกทาคามิมัคคจิตดับลง หรือเกิดขึ้นได้กับสกทาคามีที่เข้าผลสมาบัติ เมื่อสกทาคามิผลจิตปรากฏขึ้น ย่อมสำเร็จกิจ คือ

    ๑) สกทาคามิผลจิต เกิดขึ้นแก่บุคคลใดในขณะแรกทันที บุคคลนั้นได้ชื่อว่า “สกทาคามิผลบุคคล” สกทาคามิผลบุคคล ก็คือ ผู้ที่เรียกกันว่า พระสกทาคามี หรือบางทีก็เรียกว่า พระสกิทาคา พระอริยบุคคลในชั้นนี้ ยังเป็นเสกขบุคคล เพราะยังจะต้องศึกษาและปฏิบัติ เพื่อให้สำเร็จเป็นอรหันต์ต่อไป
    ๒) สกทาคามิผล เกิดขึ้นเพื่อเสวยผลที่สกทาคามิมัคคจิตได้ประหาณกิเลสชนิดตนุกรปหานแล้ว และเพื่อเสวยวิมุตติสุขขณะเข้าผลสมาบัติ

ประเภทของพระสกทาคามี ในวิสุทธิมรรคมหาฎีกา แสดงว่า พระสกทาคามีนั้น มี ๕ ประเภท คือ

    ๑) อิธ ปตฺวา อิธ ปรินิพพายีฯ สำเร็จเป็นพระสกทาคามีบุคคล ในมนุษยภูมิและบรรลุอรหัตผลในมนุษยภูมิชาติเดียวกัน
    ๒) ตตฺถ ปตฺวา ตตฺถ ปรินิพพายีฯ สำเร็จเป็นพระสกทาคามีบุคคล ในเทวโลกและบรรลุอรหัตผลในเทวภูมิชาติเดียวกัน
    ๓) อิธ ปตฺวา ตตฺถ ปรินิพพายีฯ เป็นพระสกทาคามีบุคคล ในมนุษยภูมิ แล้วจุติจากมนุษยภูมิไปปฏิสนธิในเทวภูมิ และบรรลุอรหัตผลในเทวภูมินั้น
    ๔) ตตฺถ ปตฺวา อิธ ปรินิพพายีฯ สำเร็จเป็นพระสกทาคามีบุคคลในเทวภูมิแล้วจุติจากเทวภูมิมาปฏิสนธิในมนุษยภูมิ และบรรลุอรหัตผลในมนุษยภูมินั้น
    ๕) อิธ ปตวา ตตฺถ นิพพฤติตฺวา อิธ ปรินิพพายีฯ สำเร็จเป็นพระสกทาคามีบุคคลในมนุษยภูมิแล้ว จุติจากมนุษยภูมิไปปฏิสนธิในเทวภูมิ แล้วจุติจากเทวภูมิกลับมาปฏิสนธิในมนุษยภูมิอีก และบรรลุอรหัตผลในมนุษยภูมินี้

พระสกทาคามีบุคคลประเภทที่ ๑ ถึงประเภทที่ ๔ เป็นนัยที่แสดงไว้โดยปริยาย ส่วนประเภทที่ ๕ เป็นนัยโดยตรง ตามพระบาลีในวิสุทธิมรรคมหาฎีกาว่า สกึ เอกวาร์ ปฏิสนฺธิวเสน อิมํ มนุสฺสโลกํ อาคจฺฉตีติ = สกทาคามี พระอริยบุคคลส่วนมากที่จะกลับมาปฏิสนธิในมนุษยภูมิอีกเพียงครั้งเดียวชื่อว่าพระสกทาคามี

พระอนาคามี

๕. อนาคามิมคฺคจิตฺต
เป็นมัคคจิตดวงที่ ๓ เกิดขึ้นเพื่อละกามราคะและพยาบาทไม่ให้เหลือ อนาคามิมคคจิตฺต เมื่อแยกศัพท์แล้ว ได้แก่ น (ไม่) + อาคามี (กลับมา) + มคฺค (ทาง) + จิตฺต (จิต) = มีความหมายว่า จิตที่ถึงซึ่งทางที่จะไม่กลับมาปฏิสนธิในกามภูมิอีก ชื่อว่า อนาคามี ดังมีวจนัตถะว่า ปฏิสนฺธิวเสน อิมํ กาเมธาตุํ น อาคจฺฉตีติ = อนาคามีฯ ผู้ที่จะไม่กลับมาปฏิสนธิในกามภูมิอีก ชื่อว่า อนาคามี ตสฺส มคฺโค = อนาคามิมคฺโคฯ ทางปฏิบัติของผู้บรรลุอนาคามีนั้น ชื่อว่า อนาคามิมรรค เตน สมุปยุตฺตํ จิตฺตํ = อนาคามิคฺคจิตตํฯ

จิตที่ประกอบด้วยองค์แห่งอนาคามิมรรคนั้น ชื่อว่า อนาคามิมัคคจิต เมื่ออนาคามิมัคคจิตปรากฏขึ้น ย่อมให้สำเร็จกิจดังนี้ คือ : -
    ๑) อนาคามิมัคคจิตเกิดขึ้น แก่บุคคลใด บุคคลนั้นชื่อว่า อนาคามิมรรคบุคคล
    ๒) อนาคามิมัคคจิตเกิดขึ้น เพื่อข้ามพ้นจากการกลับมาเกิดในกามโลกอีก และจะเกิดในพรหมโลกแน่นอน
    ๓) อนาคามิมัคคจิตเกิดขึ้น เพื่อประหาณกามราคะและพยาบาทโดยสิ้นเชิง

๖. อนาคามิผลจิตฺต เป็นผลจิตดวงที่ ๓ ซึ่งเกิดขึ้นในลำดับที่อนาคามิมัคคจิตดับลงทันที ไม่มีระหว่างคั่นเป็นอกาลิโก หรืออนาคามิผลจิตย่อมเกิดขึ้นในขณะที่พระอนาคามีเข้าผลสมาบัติ อนาคามิผลจิต เกิดขึ้นแก่บุคคลใด บุคคลนั้นชื่อว่า “อนาคามิผลบุคคล” หรือ “อนาคามี” ซึ่งก็ยังเป็นพระเสกขบุคคลอยู่ ยังจะต้องศึกษา คือ เจริญปัญญาต่อไปจนบรรลุอรหัตผล

อนาคามิผลจิต เป็นจิตที่โทสะและโลภะ ที่เกี่ยวกับกามราคะ ถูกประหาณแล้วโดยเด็ดขาด เป็นสมุจเฉทปหาน อนาคามิผลจิต จึงเป็นจิตที่พ้นจากกามโดยเด็ดขาด คือ พระอนาคามี เมื่อจุติแล้วจะไม่ปฏิสนธิในกามภูมิอีกเลย จะไปปฏิสนธิเป็นพรหมในรูปภูมิ หรืออรูปภูมิ ตามสมควรแก่การเจริญสมถภาวนาของอริยบุคคลผู้พ้นจากกาม

ประเภทของพระอนาคามี

ในวิสุทธิมรรคมหาฎีกา แสดงว่า พระอนาคามีบุคคล มี ๕ ประเภท คือ :
    
๑) อนุตรปรินิพฺพายี ได้แก่ พระอนาคามีบุคคลที่ปฏิสนธิในพรหมภูมิ ภูมิใดภูมิหนึ่ง แล้วบรรลุอรหัตผล และจะปรินิพพานภายในกึ่งแรกแห่งอายุขัยของภูมินั้นๆ
๒) อุปหลุจปรินิพฺพายี ได้แก่ พระอนาคามีบุคคลที่ปฏิสนธิในพรหมภูมิ ภูมิใดภูมิหนึ่ง แล้วบรรลุอรหัตผล และจะปรินิพพานภายในกึ่งหลังแห่งอายุขัยของภูมินั้นๆ
๓) อสงฺขารปรินิพฺพายี ได้แก่ พระอนาคามีบุคคลที่ปฏิสนธิในพรหมภูมิ ภูมิใดภูมิหนึ่ง แล้วบรรลุอรหัตผลได้สะดวกไม่ต้องใช้ความพยายามมากก็บรรลุได้
๔) สสงฺขารปรินิพฺพายี ได้แก่ พระอนาคามีบุคคลที่ปฏิสนธิในพรหมภูมิ ภูมิใดภูมิหนึ่งซึ่งบรรลุอรหัตผลได้โดยยากลำบาก จะต้องใช้ความพยายามอย่างแรงกล้า จึงจะบรรลุอรหัตผลได้
๕) อุทฺธโสต อกนิฏฐฺคามี ได้แก่ พระอนาคามีบุคคลที่ปฏิสนธิในสุทธาวาสภูมิเบื้องต่ำ ตั้งแต่อวิหาภูมิ แล้วจะจุติและปฏิสนธิในภูมิที่สูงขึ้นไปโดยลำดับ คือ อตัปปาภูมิ สุทัสสา สุทัสสี จนถึง อกนิฏฐาภูมิ และจะได้บรรลุอรหัตผลแล้วปรินิพพานในยอดภูมินั้น

๗. อรหตุตมคฺคจิตฺต เป็นมัคคจิตดวงที่ ๔ เมื่อพระอนาคามีได้เจริญวิปัสสนาให้ยิ่งขึ้นไปแล้ว อรหตุตมคฺคจิตฺต จะเกิดขึ้นเพื่อละรูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะและอวิชชา ไม่ให้มีเหลือ อรหตุตมคฺคจิตฺต เมื่อแยกศัพท์แล้ว ได้แก่ อรหตุต (ผู้ควรบูชาอย่างยิ่ง) + มคฺค (ทาง) + จิตฺต (จิต) รวมความว่า เป็นจิตถึงซึ่งทางที่เป็นผู้ควรแก่การบูชาอย่างยิ่ง ดังปรากฏวจนัตถะว่า

๑) อคฺคทักขิเณยุยภาเวน ปูชาวิเสสํ อรหีติอรหาฯ พระอริยบุคคลผู้ควรแก่การบูชาของเทพยดา และมนุษย์ทั้งหลาย เพราะเป็นผู้ควรแก่ทักษิณาอันเลิศนั้น จึงชื่อว่า อรหันต์
๒) ตสฺส ภาโว อรหตฺตํ จตุตฺถผลสุสเสตํ อธิวจนํฯ ความเป็นอริยบุคคลผู้ควรแก่การบูชาอันวิเศษ ชื่อว่า อรหัต หมายถึง อรหัตผล
๓) ตสฺส อาคมนภูโต มคฺค อรหตุตมคฺโคฯ ทางอันเป็นที่มาแห่งอรหัตผลนั้น ชื่อว่า “อรหัตมัค
๔) เตน สมฺปยุตตํ อรหตุตมคฺคจิตตํฯ จิตที่ประกอบด้วยองค์แห่งอรหัตมัค ชื่อว่า “อรหัตมัคคจิต”

เมื่ออรหัตมัคคจิตปรากฏขึ้น ย่อมให้สำเร็จการงาน ดังนี้ คือ

- อรหัตมัคคจิต เกิดขึ้นแก่บุคคลใด บุคคลนั้น ชื่อว่า "อรหัตมัคคบุคคล"
- อรหัตมัคคจิต เป็นจิตที่กำลังข้ามพ้นรูปโลก อรูปโลก โดยเด็ดขาด
- อรหัตมัคคจิต เป็นจิตที่กำลังประหาณกิเลส กล่าวโดยจิต ก็เป็นการกำลังประหานอกุศลจิต ที่เหลือจากอริยมัคจิตเบื้องต่ำได้ประหาณแล้ว คงเหลืออีก๕ ดวง คือ โลภมูลจิตที่เป็นทิฏฐิวิปปยุต ๔ โมหมูลจิต ที่เป็นอุทธัจจสัมปยุต ๑ ดวง, กล่าวโดยอกุศลกรรมบถ ๑๐ อรหัตมัคคจิตเป็นจิตที่กำลังประมาณอกุศลกรรมบถที่เหลืออีก ๒ คือ สัมผัปปลาปะ และอภิชฌา

๘. อรหตุตผลจิตฺต เป็นผลจิตดวงที่ ๔ และเป็นโลกุตรจิตดวงสุดท้ายที่เกิดขึ้นทันทีที่อรหัตมัคคจิตดับลง โดยไม่มีจิตอื่นมาคั่น หรืออีกนัยหนึ่ง อรหัตผลจิตย่อมเกิดขึ้นในขณะที่พระอรหันต์เข้าผลสมาบัติ

เมื่ออรหัตผลจิตเกิดขึ้นแก่ผู้ใด บุคคลนั้น ได้ชื่อว่า "อรหัตตผลบุคคล" อรหัตผลจิต เป็นจิตที่พ้นจากความขัดข้องอยู่ในโลกใด ๆ กล่าวคือ พระอรหันต์เมื่อปรินิพพานแล้ว ไม่ต้องไปปฏิสนธิที่ไหนอีกเลย เป็นการสิ้นภพสิ้นชาติ พ้นจากสังสารวัฏ อันไม่ต้องท่องเที่ยวเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพน้อย-ภพใหญ่อีกต่อไป อรหัตผลจิตเป็นจิตที่อกุศลถูกประหาณสิ้นแล้วโดยเด็ดขาดเป็นสมุจเฉทปหาณหรือกล่าวได้ว่า พระอรหันต์ต้องไม่มีอกุศลจิตทั้ง ๑๒ ดวงเกิดขึ้นได้ในสันดานอีกเลย และ อรหัตผลจิต เป็นจิตที่อกุศลกรรมบถถูกประหาณสิ้นแล้วโดยเด็ดขาด เป็นสมุจเฉทปหาน หรือกล่าวได้ว่า พระอรหันต์นั้นไม่มีอกุศลกรรมบถ ๑๐ เกิดขึ้นในสันดานได้อีกเลย

พระอรหันต์

อรหัตผลจิต เกิดขึ้นแก่บุคคลใด บุคคลนั้น ชื่อว่า อรหัตผลบุคคล และอรหัตผลบุคคลนี้ มีชื่อเรียกหลายอย่าง คือ

พระอรหันต์ หมายถึง บุคคลผู้ควรเคารพสักการะบูชายิ่ง ดังพระบาลีว่า ปูชาทิวิเสสํ อรหตีติ = อรหํ
พระขีณาสพ หมายถึง บุคคลผู้สิ้นกิเลสาสวะโดยสิ้นเชิง
พระเสกขบุคคล หมายถึง ผู้ไม่ต้องศึกษาต่อไปอีกแล้ว (เพราะบริบูรณ์แล้วด้วยศีลสิกขา จิตตสิกขา และปัญญาสิกขา) ดังพระบาลีในพระธรรมสังคณีปกรณ์ที่แสดงว่า อุปรสิกฺขิตฺตพฺพา ภาวโต น เสกฺชาติ = อเสกขา บุคคลเหล่าใด ไม่ใช่เสกขบุคคล เพราะไม่มีธรรมที่จะต้องปฏิบัติต่อไป ฉะนั้นบุคคลนั้น ชื่อว่า "อเสกข"

ประเภทของพระอรหันต์

พระอรหันต์นั้น จำแนกออกเป็นประเภทต่างๆ ได้หลายประเภท ที่จำแนกเป็น ๒ ประเภท คือ : -

๑. พระอรหันต์ ที่สำเร็จโดย ปัญญาวิมุตติ  หมายถึง พระอรหันต์ที่สำเร็จด้วยการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาล้วนๆ ไม่ได้ปฏิบัติสมถภาวนา คือ ไม่ได้ทำฌานเลย และเมื่อมรรคผลเกิดขึ้น ก็ไม่มีอารัมมนูปนิชฌานเกิดขึ้นด้วย พระอรหันต์ผู้ที่ไม่ได้ฌานนี้ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สุขวิปัสสกพระอรหันต์

๒. พระอรหันต์ ที่สำเร็จโดย เจโตวิมุตติ หมายถึง พระอรหันต์ที่สำเร็จด้วยวิปัสสนาภาวนาพร้อมสำเร็จสมถภาวนาจนได้ฌานด้วย และการได้มาซึ่งฌาน อาจได้มา ๒ วิธีด้วยกัน คือ :-

  • ก. ฌาน อาจได้มาด้วยการปฏิบัติสมถภาวนาจนสำเร็จฌาน เรียกการได้ฌานโดยวิธีนี้ว่า “ปฏิปทาสิทธิฌาน” คือได้ฌานจากการปฏิบัติสมถภาวนาแล้ว จึงยกฌานขึ้นมาเจริญวิปัสสนา จนกระทั่งบรรลุเป็นพระอรหันต์
  • ข. ฌาน อาจได้มาแม้ไม่ได้ปฏิบัติสมถภาวนา แต่เมื่อได้เจริญวิปัสสนาภาวนาตามลำดับ จนบรรลุอรหัตมรรค อรหัตผล และขณะเมื่อได้มรรคผลนั้น อารัมมนูปฌานก็เกิดขึ้นพร้อมกัน ด้วยอำนาจแห่งบุญญาธิการแต่ปางก่อน ฌานที่เกิดขึ้นพร้อมนี้ เรียกว่า “มัคคสิทธิฌาน” คือได้ฌานด้วยอำนาจแห่งมรรค และฌานประเภทนี้ อาจได้อภิญญาด้วยก็มี เช่น พระจูฬปันถก เมื่อสำเร็จเป็นพระอรหันต์ก็ได้อภิญญา แล้วได้แสดงอิทธิปาฏิหาริย์

พระอรหันต์ประเภทเจโตวิมุตตินี้ เป็นผู้ที่สำเร็จฌานด้วย เรียกว่า พระอรหันต์ฌานลาภีบุคคล และพระอรหันต์ฌานลาภบุคคลนี้ บางองค์ไม่ได้อภิญญาด้วยก็มี แต่บางองค์ได้อภิญญาด้วยก็มี พระอรหันต์ฌานลาภีบุคคลที่ได้อภิญญาด้วยนั้น ความสามารถในการสำเร็จอภิญญายังต่างกันก็มี คือบางองค์ได้เพียงอภิญญา ๓ บางองค์ก็ได้ถึงอภิญญา ๖

อภิญญา ๓” หรือที่เรียกว่า “วิชชา ๓” นั้น ได้แก่

    ๑. บุพเพนิวาสานุสติญาณ มีปัญญาที่ระลึกชาติในอดีตได้
    ๒. ทิพยจักขุญาณ หรือ จุตูปปาตญาณ มีตาทิพย์ หรือ รู้จุติ และ ปฏิสนธิของสัตว์ทั้งหลาย
    ๓. อาสวักขยญาณ มีปัญญารู้วิชาที่ทำให้สิ้นอาสวะกิเลส

สุกขวิปัสสกพระอรหันต์ หรือฌานลาภีพระอรหันต์ที่ได้อภิญญา หรือไม่ได้อภิญญาด้วยก็ตาม เมื่อสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว ต้องมีอภิญญาข้อที่ ๓ นี้ด้วยกันทุกองค์

"อภิญญา ๖" หรือ "วิชชา ๖" นั้น ได้แก่ อภิญญา ๓ หรือ วิชชา ๓ นั่นเอง และมีความรู้เพิ่มขึ้นอีก ๓ ประการ คือ

    ๔. ปรจิตตวิชานน หรือ เจโตปริยญาณ คือมีความรู้ซึ้งถึงจิตใจผู้อื่น
    ๕. ทิพโสตญาณ มีหูทิพย์
    ๖. อิทธิวิธ สามารถสำแดงฤทธิ์เดชได้


พระอรหันต์ที่จำแนกเป็น ๒ ประเภทอีกนัยหนึ่ง การจำแนกพระอรหันต์เป็น ๒ ประเภทตามนัยนี้ คือ

๑. พระอรหันต์ ผู้มีปฏิสัมภิทาญาณ คือ ถึงพร้อมด้วยความรู้อันแตกฉานในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รอบรู้อรรถ รู้ธรรมต่าง ๆ
๒. พระอรหันต์ ผู้ไม่มีปฏิสัมภิทาญาณ

ปฏิสัมภิทาญาณ มี ๔ ประการ คือ

        ๑.๑. อตฺถปฏิสัมภิทาญาณ คือ ปัญญาแตกฉานในผลทั้งปวง อันบังเกิดจากเหตุอตฺถ หมายถึง ผล ได้แก่ ธรรม ๕ ประการ คือ : -

  • ๑) ยํกิญฺจิ ปจฺจยสมฺภูตํ คือ รูปธรรมทั้งปวงที่เกิดขึ้น มีปัจจัยประชุมปรุงแต่ง
  • ๒. นิพฺพานํ คือ พระนิพพาน
  • ๓. ภาสิตตฺโถ คือ อรรถที่กล่าวแก้ให้รู้วิบากขันธ์ ๓๒ ดวง
  • ๔. กฺริยจิตฺตํ คือ กิริยาจิต ๒๐ ดวง
  • ๕. ผลจิตฺตํ คือ ผลจิต ๔ ดวง

        ๑.๒. ธมฺมปฏิสมฺภิทาญาณ คือ ปัญญาแตกฉานในเหตุที่ทำให้บังเกิดผล ธมฺม หมายถึงเหตุ ได้แก่ธรรม ๕ ประการ คือ : -

  • ๑. โย โกจิ ผลนิพฺพตฺตโก เหตุ คือ เหตุทั้งปวงบรรดาที่ยังผลให้เกิดขึ้น
  • ๒. อริยมคุโค คือ มัคคจิตทั้ง ๔ ดวง
  • ๓. ภาสิตํ คือ พระธรรมทั้ง ๓ ปิฎก
  • ๔. กุสลจิตฺตํ คือ โลกียกุศลจิต ๑๗ ดวง
  • ๕. อกุสลจิตฺตํ คือ อกุศลจิต ๑๒ ดวง

        ๑.๓. นิรุตติปฏิสมภิทาญาณ คือ แตกฉานในภาษาอันเป็นบัญญัติที่เนื่องด้วยหมายความว่า ในการอธิบายขยายความแห่งอัตถปฏิสัมภิทาและธรรมปฏิสัมภิทา ให้ผู้สดับตรับฟังรู้และเข้าใจได้แจ่มแจ้งลึกซึ้งโดยอัตถปฏิสัมภิทาและธรรมปฏิสัมภิทาถูกต้องและถี่ถ้วนจำเป็นต้องรู้จักใช้ถ้อยคำหรือภาษาอันเป็นบัญญัติที่เรียกว่า รู้จักใช้โวหาร เช่นนี้ ชื่อว่า นิรุตติปฏิสัมภิทา

        ๑.๔. ปฏิภาณปฏิสมภิทาญาณ คือ ปัญญาแตกฉานในปฏิสัมภิทาเบื้องต้นทั้ง ๓ หมายความว่า มีปัญญาว่องไวเฉียบแหลมคมคาย ไหวพริบดีในการโต้ตอบอัตถปฏิสัมภิทา ธรรมปฏิสัมภิทา และนิรุตติปฏิสัมภิทา ทั้ง ๓ นั้น ได้อย่างถูกต้องคล่องแคล่ว ชัดแจ้งความรู้แตกฉาน เช่นนี้ เรียกว่า ปฏิภาณปฏิสัมภิทาญาณ

พระอรหันต์ที่จำแนกออกเป็น ๓ ประเภท จำแนกได้ดังนี้ คือ : -

๑. พระอรหันต์ที่ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณด้วยพระองค์เอง และสามารถโปรดเวไนยสัตว์ให้พ้นทุกข์ได้โดยแนะให้ถึงอริยมรรค อริยผลได้ เพราะทรงเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยญาณ อันเป็นเครื่องโปรดสัตว์ ๓ ประการ คือ : -

  • ก. อาสยานุสยญาณ คือ ญาณที่สามารถหยั่งรู้อนุสัยกิเลส และ อัธยาศัยของเวไนยสัตว์ทั้งหลาย
  • ข. อินฺทฺริยปโรปริยตฺติญาณ คือ ญาณที่สามารถรู้อินทรีย์ของสัตว์ทั้งหลายว่ายิ่งหรือหย่อนเพียงใด
  • ค. สพฺพญฺญุตฺญาณ คือ ญาณที่สามารถรอบรู้สังขตธรรมและอสังขตธรรม รวมทั้งบัญญัติธรรมสิ้นทั้งปวง พระอรหันต์ประเภทนี้ จึงได้ชื่อว่า พระสัพพัญญูพุทธเจ้า หรือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

๒. พระอรหันต์ที่ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองเหมือนกัน แต่ไม่สามารถบัญญัติพระธรรมโปรดเวไนยสัตว์ทั้งหลายให้พ้นทุกข์ได้ เพราะไม่ถึงพร้อมด้วยญาณอันเป็นเครื่องโปรดสัตว์ ๓ ประการ ดังกล่าวแล้วในข้อ ๑ พระอรหันต์ประเภทนี้ได้ชื่อว่า พระอรหันตปัจเจกพุทธเจ้า หรือพระปัจเจกพุทธเจ้า

๓. พระอรหันต์ที่ตรัสรู้ธรรม สำเร็จอรหัตผล ตามคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ก็ได้ชื่อว่า “พระอรหันต์” ซึ่งได้แก่ พระอรหันต์ทั่ว ๆ ไป ที่นอกจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอรหันต์ปัจเจกพุทธเจ้า เรียกว่า อรหันตสาวก, สุตพุทธ, อนุพุทธ

อรหันตสาวก มี ๓ ประเภท คือ : -

  • ๑. ปกติสาวก หมายถึง สาวกที่บรรลุอริยสัจจะสิ้นอาสวกิเลสแล้วโดยทั่วไป
    ๒. มหาสาวก หมายถึง พระอรหันต์ที่เป็นสาวกผู้ใหญ่ใกล้ชิดกับพระศาสดาได้รับยกย่อง (เอตทัคคะ) เป็นพิเศษ ๔๑ องค์ อีก ๓๙ องค์ ไม่ได้รับยกย่อง รวม ๘๐ องค์
    ๓. อัคคสาวก หมายถึง สาวกที่เป็นยอดสูงสุด อยู่เบื้องขวา และเบื้องซ้ายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้แก่พระสารีบุตร (เบื้องขวา) และพระโมคคัลลาน์ (เบื้องซ้าย)









อรูปาวจรจิต ๑๒

เป็นจิตที่เกิดขึ้นโดยการเจริญสมถภาวนาของผู้ที่ได้รูปาวจรปัญจมฌานแล้ว เมื่อได้เจริญฌานให้ยิ่งขึ้นไป ก็จะเข้าถึงอรูปฌาน ฉะนั้นอรูปาวจรจิตจึงเป็นจิตที่ท่องเที่ยวอยู่ในภูมิ อันเป็นที่เกิดแห่งวัตถุอรูปและกิเลส อรูปเป็นส่วนมาก

    วัตถุอรูป ได้แก่ อรูปาวจรจิต ๑๒ เจตสิก ๓๐ (วัตถุธรรม)
    กิเลสอรูป ได้แก่ อรูปตัณหา หรือความยินดีพอใจในอรูปฌานและอรูปภพ

อรูปสฺฺส ภโวติ = อรูปํ 
ภูมิใด เป็นที่เกิดแห่งวัตถุอรูปและกิเลสอรูป ฉะนั้น ภูมินั้น ชื่อว่า อรูปภูมิ ได้แก่ อรูปภูมิ ๔

อรูเป อวจรตีติ = อรูปาวจรํ
จิตใดย่อมท่องเที่ยวเกิดอยู่ในภูมิอันเป็นที่เกิดแห่งกิเลสอรูป และวัตถุอรูปฉะนั้น จิตนั้น ชื่อว่า อรูปาวจรจิต


คาถาสังคหะ

อาลมฺพนปุปเภเทน  จตุธารุปฺปมานสํ
ปุญฺญปากกฺริยาเภทา  ปุน ทฺวาทสธาฐิตํฯ

แปลความว่า "อรูปาวจรจิตนั้น กล่าวโดยประเภทแห่งอารมณ์ มี ๔ อย่าง เมื่อจำแนกโดยประเภทแห่งชาติ คือกุศล วิบาก กิริยา แล้ว มีจำนวน ๑๒ ประเภท"

อธิบาย อรูปาวจรจิตนั้น เมื่อกล่าวโดยประเภทแห่งอารมณ์ มี ๔ อย่าง คือ

อากาสานัญจายตนะ ๑
วิญญาณัญจายตนะ ๑
อากิญจัญญายตนะ ๑
เนวสัญญานาสัญญายตนะ ๑

อรูปาวจรจิตทั้ง ๔ อย่างนี้ เมื่อจำแนกโดยประเภทแห่งชาติ คือ กุศล วิบาก กิริยาแล้ว ได้แก่ อรูปาวจรกุศลจิต ๔ อรูปาวจรวิบากจิต ๔ อรูปาวจรกิริยาจิต ๔ รวมเป็นอรูปาวจรจิต ๑๒ ประเภท อรูปาวจรจิต ๑๒ ประเภทนี้ นับเป็นฌานจิตในชั้นปัญจมฌานทั้งหมด เพราะองค์ของอรูปฌานประกอบด้วย อุเบกขา เอกัคคตา อย่างเดียวกัน และเหมือนกันกับองค์ฌานของรูปาวจรปัญจมฌาน แต่ความแตกต่างกันของอรูปาวจรจิต นี้ ต่างกันที่อารมณ์ มิใช่ต่างกันที่องค์ฌาน เหมือนอย่างในรูปาวจรจิต คือ 

อากาสานัญจายตนะ (ปฐมารูปฌาน) มีอากาศที่เพิกแล้วจากกสิณ (กสิณุคฆาฏิมากาสบัญญัติ) เป็นอารมณ์วิญญาณัญจายตนะ (ทุติยารูปฌาน) มีปฐมารูปฌานจิต เป็นอารมณ์
อากิญจัญญายตนะ (ตติยารูปฌาน) มีนัตถิภาวบัญญัติ เป็นอารมณ์
เนวสัญญานาสัญญายตนะ (จตุตถารูปฌาน) มีตติยารูปฌานจิตเป็นอารมณ์


อารมณ์ของอรูปาวจรจิต

อารมณ์ของอรูปาวจรจิต มี ๔ อย่าง คือ : -

๑. กสิณุคฆาฏิมากาสบัญญัติ เป็นอารมณ์ หมายถึงการกำหนดเอาอากาศที่เพิกแล้วจากองค์กสิณ ๙ (เว้นอากาศกสิณ) เป็นอากาศที่ว่างเปล่าหาที่สุดมิได้โดยบริกรรมว่า “อากาโส อนนฺโต” อากาศไม่มีที่สิ้นสุด ๆ จนกว่าฌานจิตจะเกิดฌานจิตที่เกิดขึ้น โดยมีกสิณุคฆาฏิกาสบัญญัติเป็นอารมณ์นี้ มีชื่อว่า "อากาสานัญจายตนฌาน" หรือ "ปฐมารูปจิต"

๒. อากาสนัญจายตนฌาน เป็นอารมณ์ หมายถึงมีวิญญาณที่เป็นไปในอากาศที่ว่างเปล่านั้นเป็นอารมณ์ หรือมีการเพ่งหน่วงเอาปฐมารูปจิตฌานเป็นอารมณ์ โดยบริกรรมว่า “วิญญาณํ อนนฺตํ” วิญญาณที่ไม่มีที่สิ้นสุด ๆ จนกว่าฌานจิตจะเกิด ฌานจิตที่เกิดโดยมีอากาสานัญจาตนฌานจิตเป็นอารมณ์นี้ ชื่อว่า "วิญญาณัญจายตนฌาน" หรือ "ทุติยารูปจิต"

๓. นัตถิภาวบัญญัติ เป็นอารมณ์ คือ สภาวะที่ไม่มีอะไรเหลือเป็นอารมณ์เลยหมายความว่า เมื่อต้องการเจริญอากิญจัญญายตนฌาน จะต้องเข้าวิญญาณัญจายตนฌานบ่อยๆ จนเป็นวสีแล้ว พิจารณาเห็นโทษของวิญญาณัญจายตนฌานว่า ถ้าขาดการเข้าฌานนี้อยู่เสมอแล้ว ฌานนี้อาจจะเสื่อมคลาย กลับไปตั้งอยู่ในอากาสานัญจายตนฌานตามเดิมอีก และสมาธิที่เกิดจากวิญญาณัญจายตนฌานนี้ก็ยังหยาบอยู่ จึงเกิดการฝักใฝ่สนใจที่จะให้อากาสานัญจายตนฌานดับขาดสูญไปจากจิตสันดานอย่างไม่มีเหลืออยู่เลย โดยกลับพยายามหน่วงให้นัตถิภาวบัญญัติปรากฏขึ้นแทน โดยบริกรรมว่า “นตฺถิ กิญฺจิ” ความเหลืออยู่เพียงเล็กน้อยก็ไม่มี ๆ จนกว่าฌานจิตจะเกิดขึ้น โดยมีนัตถิภาวบัญญัติเป็นอารมณ์นี้ ชื่อว่า "อากิญจัญญายตนฌาน" หรือ "ตติยารูปจิต"

๔. อากิญจัญญายตนฌาน เป็นอารมณ์ คือ หน่วงเอาตติยารูปจิตเป็นอารมณ์ กำหนดเอาความละเอียดประณีตของตติยารูปจิต โดยสร้างความรู้สึกว่าสัญญา คือจิตที่ไม่มีความเหลืออยู่แม้เพียงเล็กน้อย จะว่าไม่มีก็ไม่ใช่ เพราะยังมีตัวที่รู้ว่า มีอยู่ จะว่าไม่มีก็ไม่เชิง เพราะสัญญานั้นประณีตละเอียดอ่อนสงบนิ่ง จนไม่รู้ว่ามีอะไร แล้วพยายามหน่วงเอาอากิญจัญญายตนฌานให้มาปรากฏแทน โดยบริกรรมว่า "สนุตเมตํ ปณีตเมตํ" หรือ "เอตํ สนฺติ เอตํ ปณีตํ" สงบหนอประณีตหนอจนฌานจิตเกิดขึ้น ฌานที่เกิดขึ้นโดยมีอากิญจัญญายตนฌาน เป็นอารมณ์นี้ชื่อว่า เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน แปลว่า ฌานที่ไม่มีสัญญาหยาบ มีแต่สัญญาละเอียด หรือฌานที่จะว่าไม่มี สัญญาก็ไม่ใช่ มีสัญญาก็ไม่เชิง บางที เรียกฌานนี้ว่า จตุตถารูปจิต


จําแนกอรูปาวจรจิตโดยประเภทแห่งชาติ

อรูปาวจรจิต เมื่อจำแนกโดยประเภทแห่งชาติ คือ อรูปาวจรกุศลจิต อรูปาวจรวิบากจิต และอรูปาวจรกิริยาจิต มี อย่างละ ๔ ประเภท ตามประเภทแห่งอารมณ์ คือ

อรูปาวจรกุศลจิต

อรูปาวจรกุศลจิต เป็นจิตที่เจริญสมถภาวนาจนถึงอรูปฌาน เป็นไปพร้อมด้วยการปรุงแต่งอรูปกุศลไว้ให้ได้รับสมบัติเป็นอรูปพรหมในพรหมโลก หรืออรูปภูมิมีจำนวน ๔ ดวง คือ : -

  • ๑. อุเปกฺเขกคฺคตาสหิตํ อากาสานญฺจายตนกุสลจิตตํ 
    อรูปาวจรกุศลจิตดวงที่ ๑ เกิดพร้อมด้วย อุเบกขา เอกัคคตา เป็นอากาสานัญจายตนฌานกุศล
  • ๒. อุเปกฺเขกคฺคตาสหิตํ วิญฺญาณญฺจายตนกุสลจิตตํ 
    อรูปาวจรกุศลจิตดวงที่ ๒ เกิดพร้อมด้วย อุเบกขา เอกัคคตา เป็นวิญญาณัญจายตนฌานกุศล
  • ๓. อุเปกฺเขกคฺคตาสหิตํ อากิญฺจญฺจายตนกุสลจิตตํ 
    อรูปวจรกุศลจิตดวงที่ ๓ เกิดพร้อมด้วย อุเบกขา เอกัคคตา เป็นอากิญจัญญายตนฌานกุศล
  • ๔. อุเปกฺเขกคฺคตาสหิตํ เนวสัญฺญานาสัญฺญายตนกุสลจิตตํ
    อรูปาวจรกุศลจิตดวงที่ ๔ เกิดพร้อมด้วย อุเบกขา เอกัคคตา เป็นเนวสัญญานาสัญญายตนฌานกุศล

อรูปาวจรวิบากจิต

อรูปาวจรวิบากจิต เป็นจิตที่เป็นผลของอรูปาจรกุศลจิต กล่าวคือ อรูปาวจรกุศลจิต เป็นเหตุ อรูปาวจรวิบากจิต เป็นผล ให้ได้เสวยสมบัติเป็นอรูปพรหมในอรูปภูมิ ๔ ตรงกันดวงต่อดวงกับอรูปาวจรกุศลจิตนั่นเอง จึงมีจำนวน ๔ ดวง คือ :-

  • ๑. อุเปกฺเขกคฺคตาสหิตํ อากาสานญฺจายตนวิปากจิตตํ
    อรูปาวจรวิบากจิตดวงที่ ๑ เกิดพร้อมด้วย อุเบกขา เอกัคคตา เป็นอากาสานัญจายตนฌานวิบาก
  • ๒. อุเปกฺเขกคฺคตาสหิตํ วิญฺญาณญฺจายตนวิปากจิตตํ
    อรูปาวจรวิบากจิตดวงที่ ๒ เกิดพร้อมด้วยอุเบกขา เอกัคคตา เป็นวิญญานัญจายตนฌานวิบาก
  • ๓. อุเปกฺเขกคฺคตาสหิตํ อากิญฺจญฺจายตนวิปากจิตตํ
    อรูปาวจรวิบากจิตดวงที่ ๓ เกิดพร้อมด้วย อุเบกขา เอกัคคตา เป็นอากิญจัญญายตนฌานวิบาก
  • ๔. อุเปกฺเขกคฺคตาสหิตํ เนวสัญฺญานาสัญฺญายตนวิปากจิตตํ
    อรูปาวจรวิบากจิตดวงที่ ๔ เกิดพร้อมด้วย อุเบกขา เอกัคคตา เป็นเนวสัญญานาสัญญายตนฌานวิบาก

อรูปาวจรกิริยาจิต

อรูปาวจรกิริยาจิต เป็นจิตของพระอรหันต์ ที่เข้าถึงอรูปฌาน โดยนัยเดียวกันกับอรูปาวจรกุศลจิต จึงกล่าวได้ว่า อรูปาวจรกิริยาจิต ก็คือ อรูปาวจรกุศลนั่นเอง หากแต่จิตนั้นเกิดขึ้นในสันดานของพระอรหันต์โดยเฉพาะเท่านั้น อรูปาวจรกิริยาจิต จึงมีจำนวน ๔ ดวง คือ : -

  • ๑. อุเปกฺเขกคฺคตาสหิตํ อากาสานญฺจายตกริยจิตตํ
    อรูปาวจรกิริยาจิตดวงที่ ๑ เกิดพร้อมด้วย อุเบกขา เอกัคคตา เป็นอากาสานัญจายตนฌานกิริยา
  • ๒. อุเปกฺเขกคฺคตาสหิตํ วิญฺญาณญฺจายตนกริยจิตตํ
    อรูปาวจรกิริยาจิตดวงที่ ๒ เกิดพร้อมด้วยอุเบกขา เอกัคคตา เป็นวิญญาณัญจายตนฌานกิริยา
  • ๓. อุเปกฺเขกคฺคตาสหิตํ อากิญฺจญฺจายตนกริยจิตตํ
    อรูปาวจรกิริยาจิตดวงที่ ๓ เกิดพร้อมด้วย อุเบกขา เอกัคคตา เป็นอากิญจัญญายตนฌานกิริยา
  • ๔. อุเปกฺเขกคฺคตาสหิตํ เนวสัญฺญานาสัญฺญายตนกริยจิตตํ
    อรูปาวจรกิริยาจิตดวงที่ ๔ เกิดพร้อมด้วย อุเบกขา เอกัคคตา เป็นเนวสัญญานาสัญญายตนฌานกิริยา

ความหมายของอรูปฌาน ๔

ความหมายของอรูปฌานทั้ง ๔ คือ

๑. อากาสานัญจายตน แยกศัพท์ได้เป็น ๓ คำ คือ
อากาส + อนัญจ + อายตน = อากาสานัญจายตน
อากาสะ = ที่ว่าง (หมายถึงที่ที่เพิกออกจากปฏิภาคนิมิต)
อนัญจะ = หาที่สุดมิได้ (มาจาก อนันตะ)
อายตนะ = เป็นที่ตั้ง

อากาสานัญจายตน จึงหมายถึง อากาศที่เพิกปฏิภาคนิมิตออกแล้วหาที่สุดมิได้ เป็นที่ตั้งแห่งจิต หรือ จิตที่ยึดเอาที่ว่าง (อากาศที่เพิกปฏิภาคนิมิตออก) อุปมาเหมือนศาลาใหญ่หลังหนึ่ง ซึ่งเต็มไปด้วยเครื่องประดับ การเพิกปฏิภาคนิมิตเหมือนกับการยกเอาเครื่องประดับออกไปเสีย เหลือแต่ศาลาว่างเปล่า จิตนี้ จึงเพ่งอยู่ที่ว่างเปล่าภายในขอบเขตแห่งศาลา

๒. วิญญาณัญจายตน แยกศัพท์ออกได้ ๓ ศัพท์เช่นกัน คือ
วิญญาณ + อนัญจ + อายตน = วิญญาณัญจายตน
วิญญาณ = จิต (ธรรมชาติรู้อารมณ์)
อนัญจะ = หาที่สุดมิได้
อายตนะ = - เป็นที่ตั้ง

วิญญาณัญจายตน จึงหมายถึง จิตที่ยึดหน่วงจิตดวงก่อนที่รู้อากาศนิมิตอันหาที่สุดมิได้มาเป็นอารมณ์ อุปมาเหมือนศาลาที่ว่างอยู่นั้น บัดนี้ มีพระสงฆ์มาประชุมกันทำสังฆกรรมอยู่ จิตจึงเพ่งอยู่เฉพาะพระสงฆ์หมู่ที่มาประชุมกันอยู่นั้นโดยมิได้เอาใจใส่ในขอบเขตแห่งศาลานั้นเลย

๓. อากิญจัญญายตน แยกศัพท์ได้เป็น
น + กิญจน + อายตน = อากิญจัญญายตน
น = ไม่มี
กิญจนะ = เหลืออยู่
อายตนะ = เป็นตั้ง

อากิญจัญญายตน หมายถึง จิตที่ยึดสภาพความไม่มีปฐมารูปจิตเป็นอารมณ์ อุปมาเหมือนศาลาใหญ่ที่พระสงฆ์ประชุมกันทำสังฆกรรมอยู่นั้น บัดนี้ได้ออกไปจากศาลานั้นหมดแล้ว ไม่มีเหลืออยู่แม้แต่องค์เดียว จิตดวงนี้จึงเพ่งอยู่ที่ความไม่มีพระสงฆ์หมู่นั้นเลย และพร้อมทั้งไม่เอาใจใส่ในขอบเขตแห่งศาลานั้นด้วย

๔. เนวสัญญานาสัญญายตน แยกศัพท์ได้เป็น
น + เอว + สัญญา + น + อสัญญา + อายตน = เนวสัญญานาสัญญายตน
น = ไม่ใช่
เอว = นั่นเทียว
น = ไม่ใช่
สัญญา = มีสัญญา
อสัญญา =ไม่มีสัญญา
อายตนะ = เป็นที่ตั้ง

เนวสัญญานาสัญญายตน จึงหมายถึง สภาพจิตที่ยึดอารมณ์อันละเอียดยิ่งเฉพาะอารมณ์เท่านั้น จะมีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ อุปมาเหมือน สามเณรเอาน้ำมันทาบาตไว้เพื่อกันสนิม พระเถระเรียกเอาบาตจากสามเณรเพื่อใส่ภัตสามเณรจึงเรียนว่า “บาตติดน้ำมันอยู่” พระเถระก็ว่า “ยกเอามาเถิด เราจะเทไว้ในกระบอกน้ำมัน สามเณรจึงตอบว่า “น้ำมันนั้นทาบาตไว้แต่พอกันสนิมไม่มีมากพอจนถึงเทใส่กระบอกได้” อารมณ์ของเนวสัญญานาสัญญายตน จึงกล่าวว่ามีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ คือ มีแต่สภาพสัญญาอันละเอียด

ภูมิอันเป็นที่เกิดของอรูปาวจรกุศลจิต

อรูปาวจรกุศลจิต ๔  >>> ย่อมเกิดได้ใน ๒๖ ภูมิ คือ
                                            กามสุคติภูมิ ๗
                                            รูปภูมิ ๑๕ (เว้นอสัญญสัตตภูมิ ๑)
                                            อรูปภูมิ ๔ (เว้นฌานที่ต่ำกว่าภูมิของตน)

อรูปาวจรวิบากจิต ๔  >>> ย่อมเกิดได้ในอรูปภูมิ ๔ (โดยเฉพาะภูมิของตนๆ )

อรูปาวจรกิริยาจิต ๔  >>> ย่อมเกิดได้ใน ๒๖ ภูมิ คือ
                                             กามสุคติภูมิ ๗
                                             รูปภูมิ ๑๕ (เว้นอสัญญสัตตภูมิ ๑)
                                             อรูปภูมิ ๔ (เว้นฌานที่ต่ำกว่าภูมิของตน)  


ติเหตุกบุคคลที่อยู่ในกามสุคติภูมิก็ดี ที่อยู่ในรูปภูมิ (เว้นอสัญญสัตตภูมิ) ก็ดี อาจเจริญสมถภาวนาให้อรูปฌานจิตเกิดขึ้นได้ในสันดานแห่งตน ถ้าอรูปฌานจิตเกิดขึ้นในสันดานของปุถุชน หรือพระเสกขบุคคลแล้ว ก็ชื่อว่า อรูปาวจรกุศลจิตเกิด แต่ถ้าอรูปฌานจิตเกิดขึ้นในสันดานของพระอรหันต์ ที่ชื่อว่า อรูปาวจรกิริยาจิตเกิด ส่วนในอสัญญสัตตภูมินั้น อรูปาวจรจิตย่อมเกิดขึ้นไม่ได้ เพราะเป็นภูมิที่ไม่มีจิตอยู่แล้ว ไม่อาจที่จะกระทำกิจใดๆ ได้ ในอรูปภูมิทั้ง ๔ นั้น แต่ละภูมิย่อมเจริญอรูปฌานเฉพาะที่เป็นฌานในภูมิของตน หรือในอรูปฌานที่สูงกว่าของตนเท่านั้น จะไม่เจริญอรูปฌานที่ต่ำกว่าภูมิของตนเลย ทั้งนี้ เพราะได้เห็นโทษในแต่ละอารมณ์ที่ผ่านมาแล้วนั้น


มหัคคตจิต

มหัคคตจิต หมายถึงจิตที่เข้าถึงความเป็นใหญ่ ในอัฏฐสาลินีอรรถกถาแสดงว่า มหนฺตภาวํ คตาติ มหคฺคตา แปลว่า ธรรมชาติใดที่ถึงความเป็นใหญ่ ฉะนั้นธรรมชาตินั้น ชื่อว่า “มหัคคตะ” หรือ “มหนฺตํ คโตติ = มหคฺคโต” จิตใดย่อมเข้าถึงความเป็นใหญ่ จิตนั้นชื่อว่า “มหัคคตะ” จิตที่เข้าถึงความเป็นใหญ่นั้น หมายถึง มีกำลังจิตอันแก่แล้วสามารถกระทำให้สำเร็จกิจต่าง ๆ ได้ คือ

    ก. ข่มกิเลสไว้ได้นานตามสมควร ที่เรียกว่า วิกขัมภนปหาน
    ข. ให้ผลอันไพบูลย์ คือ มีพรหมวิหารธรรม ให้ได้เสวยพรหมสมบัติในพรหมโลก
    ค. ให้ชวนจิตมีการเกิดขึ้นสืบต่อกันได้เป็นเวลานานเป็นพิเศษ คือ ฌาน

สมาบัติ หรือความเป็นรูปพรหม อรูปพรหม ที่มีอายุยืนยาวกว่าสัตว์อื่นๆทั้งหลาย ล้วนอาศัยมหัคคตปฏิสนธิจิตทั้งสิ้น จิตที่เข้าถึงความเป็นใหญ่และประเสริฐดังกล่าวนี้ ชื่อ มหัคคตจิต มีจำนวน ๒๗ ดวง คือ

  • รูปาวจรจิต ๑๕ ดวง
  • อรูปาวจรจิต ๑๒ ดวง

มหากิริยาจิต ๘

กิริยาจิต” หมายถึงจิตที่ไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศล และไม่ใช่วิบาก เป็นเพียงจิตที่กระทำหน้าที่รับอารมณ์ผ่านมาทางทวารทั้ง ๖ หรือทำหน้าที่ให้สำเร็จการคิด การทำ การพูด เป็นกิริยาโดยภาวะที่เกิดขึ้นแก่พระขีณาสพ ไม่มีปัจจัยแห่งกุศล และอกุศลในอนาคตอีก กิริยาจิต จึงมี ๒ ประเภท คือ : -

  • ๑. อเหตุกกิริยาจิต ได้แก่ จิตที่ไม่ใช่เป็นผลของกุศลและอกุศล และทั้งไม่ใช่จิตที่เป็นตัวกุศลและอกุศลด้วยเป็นจิตที่สักแต่เพียงกระทำหน้าที่รับอารมณ์ผ่านทวารทั้ง ๖ เท่านั้น ยังไม่ให้ถึงความเป็นชวนะ (เว้นแต่ หสิตุปาทะ เกิดที่ชวนะ) จึงยังไม่มีโอกาสสร้างเหตุ ฉะนั้น ย่อมไม่มีเหตุผลเหมือนดอกไม้ลม กล่าวคือ เป็นดอกไม้ที่ไร้ผล
  • ๒. สเหตุกกามาวจรกิริยาจิต หรือ มหากิริยาจิต เป็นจิตที่ทำให้สำเร็จ การทำการพูด การคิดของพระอรหันต์ ผู้สิ้นกิเลสทั้งปวง เป็นกิริยาจิตที่เข้าถึงความเป็นชวนะ เสวยอารมณ์ที่เป็นโสมนัส หรือ อุเบกขา ซึ่งสักแต่เพียงว่าเป็นเวทนาชนิดที่ไม่ใช่เป็นเหตุแห่งตัณหาและอุปาทาน จึงไม่สามารถก่อให้เกิดผลในอนาคตขึ้นใหม่อีกได้ เปรียบเหมือนดอกไม้ที่มีต้นอันขาดรากเสียแล้ว

อเหตุกกิริยาจิตได้แสดงมาแล้วในบทเรียนก่อน ต่อไปนี้จะได้แสดงถึง สเหตุกกามาวจรกิริยาจิต หรือ มหากิริยาจิต

สเหตุกกามาวจรกิริยาจิต (มหากิริยาจิต)

สเหตุกกามาวจรกิริยาจิต หรือ มหากิริยาจิตนี้ เป็นจิตที่มีเหตุประกอบเกิดขึ้นรับกามารมณ์เป็นส่วนมาก และเกิดขึ้นได้กว้างขวางในภูมิต่าง ๆ ได้ถึง ๒๖ ภูมิ (เว้นอบายภูมิ ๔ และอสัญญสัตตภูมิ ๑ ซึ่งไม่มีพระอรหันต์) มหากิริยาจิตนี้ จึงมีสภาพคล้ายกันกับมหากุศลจิต ผิดกันแต่ว่า ถ้าเกิดขึ้นแก่บุคคลอื่นที่ไม่ใช่พระอรหันต์ จิตเหล่านั้นคงเรียกว่า มหากุศลจิต แต่ถ้าเกิดกับพระอรหันต์โดยเฉพาะแล้ว จิตเหล่านั้นก็เรียกว่า “มหากิริยาจิต” ฉะนั้น มหากิริยาจิต จึงมีจำนวนเท่ากับมหากุศลจิต ๘ ดวง

🔅 มหากิริยาจิต ๘

โสมนสุสสหคตํ ญาณสมฺปยุตฺตํ อสงฺขาริกํ
มหากิริยาจิตดวงที่ ๑ เกิดพร้อมกับความยินดี ประกอบด้วยปัญญา เกิดขึ้นเองโดยไม่มีการชักชวน
โสมนสุสสหคตํ ญาณสมฺปยุตฺตํ สสงฺขาริกํ
มหากิริยาจิตดวงที่ ๒ เกิดพร้อมกับความยินดี ประกอบด้วยปัญญา เกิดขึ้นเองโดยมีการชักชวน
โสมนสุสสหคตํ ญาณวิปฺปยุตฺตํ อสงฺขาริกํ
มหากิริยาจิตดวงที่ ๓ เกิดพร้อมกับความยินดี ไม่ประกอบด้วยปัญญาเกิดขึ้นเองโดยไม่มีการชักชวน
โสมนสุสสหคตํ ญาณวิปฺปยุตฺตํ สสงฺขาริกํ
มหากิริยาจิตดวงที่ ๔ เกิดพร้อมกับความยินดี ไม่ประกอบด้วยปัญญาเกิดขึ้นเองโดยมีการชักชวน

อุเปกขาสหคตํ ญาณสมฺปยุตฺตํ อสงฺขาริกํ
มหากิริยาจิตดวงที่ ๕ เกิดพร้อมกับความเฉยๆ ประกอบด้วยปัญญา เกิดขึ้นเองโดยไม่มีการชักชวน
อุเปกขาสหคตํ ญาณสมฺปยุตฺตํ สสงฺขาริกํ
มหากิริยาจิตดวงที่ ๖ เกิดพร้อมกับความเฉยๆ ประกอบด้วยปัญญา เกิดขึ้นเองโดยมีการชักชวน
อุเปกขาสหคตํ ญาณวิปฺปยุตฺตํ อสงฺขาริกํ
มหากิริยาจิตดวงที่ ๗ เกิดพร้อมกับความเฉยๆ ไม่ประกอบด้วยปัญญาเกิดขึ้นเองโดยไม่มีการชักชวน
อุเปกขาสหคตํ ญาณวิปฺปยุตฺตํ สสงฺขาริกํ
มหากิริยาจิตดวงที่ ๘ เกิดพร้อมกับความเฉยๆ ไม่ประกอบด้วยปัญญาเกิดขึ้นเองโดยมีการชักชวน


🔅 มหากิริยาจิตที่เกิดพร้อมกับโสมนัสเวทนา

มหากิริยาจิต เป็นจิตที่เกิดแต่เฉพาะในสันดานของพระอรหันต์ผู้ประหาณกิเลสเป็นสมุจเฉทโดยสิ้นเชิง ฉะนั้น เมื่ออารมณ์ผ่านมาทางทวารทั้ง ๖ ย่อมจะพิจารณาอารมณ์นั้นๆ ด้วยความเป็นอุเบกขาไม่มีความยินดียินร้ายประการใดแล้ว มหากิริยาจิตจึงเกิดพร้อมกับโสมนัสเวทนาได้ เช่น

จักขุทวารของพระอรหันต์ได้เห็นสถานที่อันเป็นสัปปายะ เหมาะสมแก่การเจริญกรรมฐาน ย่อมเข้าถึงความเป็นผู้โสมนัสด้วยมหากิริยาจิตดวงนี้ หรือ ทางโสตทวาร สดับเสียงเซ็งแซ่ของผู้ละโมบโลภมากในโรงทาน ก็เป็นผู้เข้าถึงซึ่งความโสมนัส ด้วยมหากิริยาจิตนี้ โดยคิดว่า “เราละตัณหาอันโลเลเห็นปานนี้ได้แล้ว” ทางฆานทวาร เวหาทวาร กายทวาร และมโนทวาร ก็เป็นไปในทำนองเดียวกับที่เป็นผู้ถึงความโสมนัสด้วยมหากริยาจิตได้

ความโสมนัสที่เกิดพร้อมกับมหากิริยาจิตของพระขีณาสพ สักแต่เป็นเวทนาที่เป็นผลของผัสสะเท่านั้นหาใช่เป็นเหตุแห่งตัณหา อุปาทาน และกรรมต่อไปไม่ มหากิริยาจิต จึงเกิดพร้อมกับโสมนัสเวทนาได้ ส่วนมหากิริยาจิตที่เกิดพร้อมกับอุเบกขาเวทนานั้น ย่อมปรากฏในขณะพิจารณาอารมณ์นั้นด้วย 👉ฉฬังคุเบกขา ซึ่งไม่มีความยินดีประการใด

🔅 มหากิริยาจิตกับการประกอบด้วยปัญญา

มหากิริยาจิตที่เกิดในสันดานของพระขีณาสพนั้น ย่อมเป็นจิตที่บริสุทธิ์สะอาดปราศจากกิเลสมลทิน จิตที่บริสุทธิ์เช่นนี้ น่าจะเป็นจิตที่ประกอบด้วยปัญญาแต่ฝ่ายเดียว ที่ไม่ได้ประกอบด้วยปัญญา คือ ชนิดที่เป็นญาณวิปปยุตนั้น ไม่น่าจะมีได้

มหากิริยาจิตที่ไม่ได้ประกอบด้วยปัญญา ย่อมมีได้ กล่าวคือ ในขณะที่พระอรหันต์ทั้งหลาย ต้องประกอบกิจการอันเป็นไปตามธรรมดาของสังขาร หรือกิจการที่ได้กระทำจนเป็นความเคยชินซึ่งไม่ต้องประกอบด้วยปัญญาเลยก็มีได้ เช่น การยืน เดิน นั่ง นอน ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ เป็นต้น การงานต่าง ๆ เหล่านี้ ย่อมต้องอาศัยมหากิริยาจิตเป็นผู้จัดแจง และไม่ต้องใช้ปัญญามาประกอบด้วยเลย

มหากิริยาจิต ๘ เป็นจิตที่กระทำกิจการงานของกุศลนั่นเอง แต่ การงานของกุศล นั้น ย่อมให้ผลเป็นความสุขต่อไปอีก ส่วนพระอรหันต์ท่านทำกิจการงานที่ไม่ต้องการผล แม้เป็นความสุขต่อไปอีก จึงเรียกว่า สักแต่ทำ, พูด, คิด ด้วยมหากิริยาจิตเท่านั้นเอง ที่ว่าเป็นการงานของกุศลนั้น หมายความว่า การงานที่พระอรหันต์ทำนั้นถ้าไม่ใช่พระอรหันต์ คือ ปุถุชน หรือ พระเสกขบุคคลทำ ก็ล้วนเป็นการงานที่เป็นกุศลไปทั้งสิ้น ส่วนการงานที่เป็นอกุศลนั้น แม้เพียงแต่คิดด้วยจิตอันเป็นอกุศลก็ไม่มีแล้วแก่จิตใจของพระอรหันต์ทั้งหลาย

คาถาสังคหะ

กาเม เตวีส ปากานิ     ปุญฺญาปุญฺญานิ วีสติ
เอกาทส กฺริยา เจติ     จตุปญฺญาส สพฺพถาฯ

แปลความว่า : กามาวจรวิบากจิต มี ๒๓, กามาวจรกุสลจิต และอกุสลจิต มี ๒๐, กามาวจรกิริยาจิต มี ๑๑ รวมกามาวจรจิต มี ๕๔ ดวง ดังนี้

มหาวิบากจิต ๘

วิบากจิต มีสภาพดังนี้ คือ : -

๑. ไม่ใช่เป็นจิตที่ต้องทำให้เกิดขึ้น ถ้ามีกุศลกรรม อกุศลกรรม เป็นเหตุแล้ววิบากจิต คือ ผล ก็ต้องมีแน่นอน
๒. วิบากจิต เป็นจิตที่สงบ ไม่ปรากฏอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นจิตที่ไม่มีความขวนขวาย หรือวิริยะ อุตสาหะ ยังมีกำลังอ่อน ต่างกับกุศล อกุศล และกิริยา
๓. วิบากจิต ไม่ปรากฏชัด ที่รู้สึกปรากฏชัดเฉพาะขณะหลับ ส่วนเวลาตื่น จิตขึ้นสู่วิถี เป็นกุศลบ้าง อกุสลบ้าง กิริยาบ้าง ย่อมเด่นชัดมากกว่าวิบากจิต
๔. เจตสิกที่เกิดกับวิบากจิต ก็มีกำลังอ่อนไปด้วย รวมทั้งปฏิสนธิ กัมมชรูปและจิตชรูป ที่เกิดจากวิบากจิตนั้น ก็ไม่ปรากฏอาการอย่างใดอย่างหนึ่งชัดเจนเหมือนกุศลจิต อกุศลจิต และกิริยาจิต เช่น ความชรา ย่อมเกิดแก่บุคคลทุกคน เมื่อความเกิดมีแล้ว ความชราจะต้องมีแน่นอน

🔅สเหตุกกามาวจรวิบากจิต (มหาวิบาก)

สเหตุกามาวจรวิบากจิต นิยมเรียกกันว่า กามาวจรวิบาก หรือมหาวิบากเพราะเป็นจิตที่เป็นผลของกามาวจรกุศลจิต หรือ มหากุศลจิต ๘ ดวงโดยตรง กล่าวคือ

มหากุศลจิต ๘ ดวง เป็นเหตุให้มหาวิบากจิตเกิด ๘ ดวง เป็นผล และย่อมให้ผลตรงกันดวงต่อดวง เช่น มหากุศลจิต เป็นโสมนัส ญาณสัมปยุต อสังขาริก ก็ให้ผลเป็น มหาวิบากโสมนัส ญาณสัมปยุต อสังขาริก ด้วยเหมือนกัน ดังนี้ เป็นต้น กามาวจรวิบากจิตนั้น เมื่อกล่าวโดยทั่วไปแล้ว ย่อมมี ๒๓ ดวง คือ

        กามาวจรวิบากจิต
                🅞 อเหตุกะ >> อกุศลวิบาก ๗ 
                                  >> กุศลวิบาก ๘ 
                🅞 สเหตุกะ >> กามาวจรวิบาก ๘

                      รวมเป็นจิตที่เกิด ๒๓ ดวง

ในกามาวจรวิบากจิต ๒๓ ดวงนั้น อกุศลวิบากจิต ๗ ดวง เป็นผลของอกุศลจิต ๑๒ ดวง อเหตุกกุศลวิบากจิต ๘ และสเหตุกกามาวจรวิบากจิต ๘ รวมจิต ๑๖ ดวงนี้ เป็นผลของกามาวจรกุศลจิต ๘ หรือที่เรียกว่า มหากุศลจิต ๘ ดวง เพราะเหตุที่ให้ผลมากกว่าตน เช่นนี้เอง แม้อเหตุกกุศลวิบากจิต และมหาวิบากจิต จะเนื่องแต่มหากุศลจิตอย่างเดียวกันก็ตาม แต่ความแตกต่างกันระหว่างอเหตุกกุศลวิบากจิต กับ มหาวิบากจิตย่อมมีอยู่เสมอ คือ

อเหตุกกุศลวิบากจิต คือ จิตที่เป็นผลของมหากุศล แต่ไม่ประกอบด้วยเหตุอย่างใด ๆ ประการหนึ่ง เมื่อเกิดขึ้นรับอารมณ์ก็ไม่มั่นคง ประการหนึ่ง และเกิดได้กว้างขวาง ทั้งในกามภูมิและรูปภูมิตามสมควร ประการหนึ่ง

มหาวิบากจิต คือ จิตที่เป็นผลของมหากุศลจิต แต่ประกอบด้วยเหตุประการหนึ่งเมื่อเกิดขึ้นรับอารมณ์ก็มั่นคง ประการหนึ่ง และเกิดได้เฉพาะในกามสุคติภูมิ ๗ เท่านั้นประการหนึ่ง

ฉะนั้น สเหตุกกามาวจรวิบากจิต หรือมหาวิบากจิต ที่จะกล่าวต่อไปนี้จึงหมายถึงจิตที่จะเป็นผลของมหากุศล เพราะเมื่อกล่าวโดยเวทนา สัมปโยคะ และสังขารแล้ว ก็เหมือนกันกับมหากุศลจิตทุกประการ จึงชื่อว่า "มหาวิบากจิต" สเหตุกกามาวจรวิบากจิตนี้ มีจำนวน ๘ ดวง และมีชื่อเหมือนกันกับมหากุศลจิต คือ 

๑. โสมนสุสสหคตํ ญาณสมฺปยุตตํ อสงฺขาริกํ มหาวิบากจิตดวงที่ ๑ เกิดขึ้นพร้อมกับความยินดี ประกอบด้วยปัญญา โดยไม่มีการชักชวน
๒. โสมนสุสสหคตํ ญาณสมฺปยุตตํ สสงฺขาริกํ มหาวิบากจิตดวงที่ ๒ เกิดขึ้นพร้อมกับความยินดี ประกอบด้วยปัญญา โดยมีการชักชวน
๓. โสมนสุสสหคตํ ญาณวิปฺปยุตตํ อสงฺขาริกํ มหาวิบากจิตดวงที่ ๓ เกิดขึ้นพร้อมกับความยินดี ไม่ประกอบด้วยปัญญา โดยไม่มีการชักชวน
๔. โสมนสุสสหคตํ ญาณวิปฺปยุตตํ สสงฺขาริกํ มหาวิบากจิตดวงที่ ๔ เกิดขึ้นพร้อมกับความยินดี ไม่ประกอบด้วยปัญญา โดยมีการชักชวน

๕. อุเบกขาสหคตํ ญาณสมฺปยุตตํ อสงฺขาริกํ มหาวิบากจิตดวงที่ ๕ เกิดขึ้นพร้อมกับความรู้สึกเฉย ๆ ประกอบด้วยปัญญา โดยไม่มีการชักชวน
๖. อุเบกขาสหคตํ ญาณสมฺปยุตตํ สสงฺขาริกํ มหาวิบากจิตดวงที่ ๖ เกิดขึ้นพร้อมกับความรู้สึกเฉยๆ ประกอบด้วยปัญญา โดยมีการชักชวน
๗. อุเบกขาสหคตํ ญาณวิปฺปยุตตํ อสงฺขาริกํ มหาวิบากจิตดวงที่ ๗ เกิดขึ้นพร้อมกับความรู้สึกเฉย ๆ ไม่ประกอบด้วยปัญญา โดยไม่มีการชักชวน
๘. อุเบกขาสหคตํญาณวิปฺปยุตตํ สสงฺขาริกํ มหาวิบากจิตดวงที่ ๘ เกิดพร้อมกับความรู้สึกเฉยๆ ไม่ประกอบด้วยปัญญา โดยมีการชักชวน

🔅 มหาวิบากเป็นอัพยากตธรรม

มหาวิบากที่เป็นอัพยากตธรรม คือ ในสมัยใด เพราะกามาวจรกุศล อันได้กระทำไว้แล้ว จึงก่อให้เกิดผลเป็นมโนวิญญาณธาตุ อันเป็นวิบาก เกิดพร้อมกับความยินดีบ้าง ความเฉยๆ บ้าง ประกอบด้วยปัญญาบ้าง ไม่ประกอบด้วยปัญญาบ้าง มีรูปารมณ์ หรือปรารภอารมณ์ใดๆ เกิดขึ้นเอง โดยไม่มีการชักชวน หรือมีการชักชวน เป็นมหาวิบากจิต ๘ ดวง

ในสมัยนั้น ย่อมเกิดผัสสะ เวทนา สัญญา เจตนา เอกัคคตา ชีวิตินทรีย์มนสิการ สัทธา ฯลฯ เกิด อวิกเขป คือ สภาวะที่สงบอยู่ ไม่ฟุ้งซ่าน สภาวธรรมเหล่านั้น ชื่อว่าธรรมเป็นอัพยากต เพราะมีอัพยากตมูล คือ อโลภะ อโทสะ หรืออโมหะ เป็นมูลฐานให้สภาวธรรมเหล่านั้น ปรากฏขึ้น

🔅 มหาวิบากแตกต่างจากมหากุศล

มหาวิบากแตกต่างจากมหากุศล คือ ในมหากุศลทั้งหลาย มีความแตกต่างกันแห่งกรรม, ทวาร, กรรมบถและบุญกิริยาวัตถุ แต่ความแตกต่างกันเหมือนในมหากุศลนั้นไม่มีในมหาวิบาก ทั้งนี้ เพราะมหาวิบากไม่ยังวิญญัติให้เกิด เพราะมหาวิบากเป็นผลที่สุกแล้ว ไม่มีวิบากต่อไปอีก และเพราะมหาวิบากไม่ได้กระทำสัตวบัญญัติให้เป็นอารมณ์ คือ กรุณา มุทิตา และแม้วิรัติ คือ สัมมากัมมันตะ สัมมาวจาและสัมมาอาชีวะ ไม่มี ธรรมทั้ง ๕ ประการดังกล่าวนั้น จึงเกิดกับมหาวิบากจิตไม่ได้เลย ส่วนสภาวะแห่งสังขารธรรมนั้น คือ ประเภทแห่งอสังขาริกและสสังขาริกเหมือนกันกับมหากุศลทุกประการ

🔅 ฐานะที่อำนวยผลของมหาวิบาก

มหาวิบากจิตทั้ง ๘ ดวงนั้น ย่อมอำนวยผลในฐานะ ๔ ประการ คือ

ในฐานะที่เกิดขึ้นครั้งแรกในภพใหม่ เรียกว่า ปฏิสนธิกิจ
ในฐานะที่รักษาภพชาติที่ดำรงอยู่นั้นไว้ เรียกว่า ภวังคจิต
ในฐานะสิ้นไปจากภพชาตินั้น เรียกว่า จุติกิจ
ในฐานะหน่วงอารมณ์ที่เหลือจากการที่เสพแล้ว เรียกว่า ตทาลัมพนกิจ

 🅞 ฐานะผู้อำนวยผลเป็นปฏิสนธิกิจ ผู้ที่เคยทำบุญกุศล ทั้งชนิดที่ประกอบด้วยปัญญาก็ตาม อำนาจแห่งกุศลจิตดวงใดดวงหนึ่งใน ๘ ดวงนั้น ย่อมยังผลให้ปฏิสนธิเป็นมนุษย์ และเป็นเทวดา ชั้นกามาวจร ผู้ปฏิสนธิ คือ มหาวิบากจิต ๘ และกัมมชรูป
🅞 ฐานะอำนวยผลเป็นภวังค์กิจ เมื่อสัตว์ทั้งหลายผ่านการปฏิสนธิไปแล้ว ก็อำนวยผลเป็นภวังค์ ทำหน้าที่ในการรักษาภพชาติของมนุษย์ หรือเทวดาชั้นกามาวจรเหล่านั้นไว้ในปวัตติกาลตลอดอายุขัย ๗๕ ปีบ้าง ๑๐๐ ปีบ้าง ตามสมควรแก่อายุขัยแห่งสัตว์ในภพภูมิที่เป็นอยู่นั้น
🅞 ฐานะอำนวยผลเป็นตทาลัมพูนกิจ ยึดหน่วงอารมณ์ที่เหลือต่อจากขณะเสพอารมณ์นั้น ได้แก่ รับอารมณ์ที่เหลือต่อจากชวนจิตวิบากจิตที่จะอำนวยผลเป็นตทาลัมพนกิจนี้มีได้แต่เฉพาะกามสัตว์ที่ในกามภูมิ เท่านั้น คือ เป็นกามบุคคล มีกามอารมณ์ และกามชวนะ
🅞 ฐานะอำนวยผลเป็นจุติกิจ ในมรณกาลแห่งภพชาติที่เป็นอยู่นั้น มหาวิบากจิตที่ปรากฏครั้งแรกในภพชาตินั้นๆ และดำรงสืบต่อมาเรื่อยๆ จนถึงเวลาที่ต้องเคลื่อนไปจากภพชาติที่เป็นอยู่ ฉะนั้น มหาวิบากจิตประเภทเดียวกับที่ถือปฏิสนธินั่นเอง เป็นผู้จุดสิ้นไปจากภพชาตินั้น



ดังนั้น จึงเห็นได้ว่า มหาวิบากทั้ง ๘ ดวงนี้ ย่อมเป็นผู้ตั้งต้นสัตว์ให้ปรากฏขึ้นใหม่ในกามสุคติภูมิ ๗ ตามสมควรแก่กำลังของมหากุศล ซึ่งทำให้สัตว์แตกต่างกันด้วยภูมิหรือกำเนิด และแม้อยู่ในภูมิเดียวกัน ก็ยังต่างกันด้วยอำนาจแห่งกิเลสและต่างกันด้วยอำนาจแห่งศรัทธา ปัญญาของกุศลเจตนาในอดีต อันยังเป็นวิบากที่ให้สัตว์เหล่านั้นพึงได้รับภายหลังจากที่ได้เกิดมาแล้ว สัตว์เหล่านี้ บางพวกมีโลภะเป็นส่วนมาก บางพวกมีโทสะเป็นส่วนมาก และบางพวกมีโมหะเป็นส่วนมาก ถ้าจะตั้งปัญหาถามว่า ธรรมอันใดเป็นผู้กำหนดภาวะที่เป็นส่วนข้างมาก ก็ให้ปรากฏเป็นผลขึ้นแก่สัตว์เหล่านั้น คำตอบ ก็คือ เพราะเหตุ ๖ ประการ คือ โลภะ โทสะ โมหะ หรือ อโลภะ อโทสะ อโมหะ ที่สัตว์เหล่านั้นได้กระทำไว้แล้วนั่นเอง เป็นผู้กำหนดให้ด้วยเหตุนี้ในขณะที่ขวนขวายประกอบกรรมในปัจจุบัน ความแตกต่างในการขวนขวายของบรรดาสัตว์เหล่านั้น ย่อมปรากฏเป็นผลที่แตกต่างกัน คือ 


  • ผู้ใด มีโลภะ อโทสะ อโมหะ แรง แต่อโลภะ โทสะ และโมหะอ่อน ผู้นั้นเป็นคนมักได้ ชอบสบาย มักไม่โกรธ แต่ย่อมเป็นผู้มีปัญญา
  • ผู้ใด มีโลภะ โทสะ และอโมหะ แรง แต่มีอโลภะ อโทสะ และโมหะอ่อน ย่อมเป็นคนมักได้และฉุนเฉียว แต่ย่อมเป็นผู้มีปัญญา
  • ผู้ใด มีโลภะ อโทสะ และโมหะ แรง ผู้นั้นย่อมเป็นผู้มักได้ โง่เขลาและชอบสบาย มักไม่โกรธง่าย
  • ผู้ใด มีโลภะ โทสะ โมหะ แรง ย่อมเป็นผู้มักได้ ฉุนเฉียวและลุ่มหลง
  • ผู้ใด มีอโลภะ โทสะ โมหะ แรง ผู้นั้นย่อมมักน้อย แต่เป็นผู้ฉุนเฉียว และมีปัญญาน้อย
  • ผู้ใด มีอโลภะ อโทสะ และโมหะ แรง ย่อมเป็นผู้มักน้อย ไม่ฉุนเฉียว และ เป็นคนเขลา
  • ผู้ใด มีอโลภะ โทสะ และอโมหะ แรง ผู้นั้นย่อมเป็นผู้มักน้อย และมีปัญญาแต่เป็นผู้ฉุนเฉียว มักโกรธ
  • ผู้ใด มือโลภะ อโทสะ และอโมหะ ทั้ง ๓ แรง ย่อมเป็นผู้ไม่มักได้ ไม่ฉุนเฉียวและมีปัญญา

ตามที่กล่าวมานี้ ย่อมเห็นได้ว่า เหตุเบื้องต้น ย่อมกำหนดผลให้ปรากฏขึ้นเพื่อเป็นอุปการะในการประกอบกรรมในปัจจุบัน ความต่างกัน จึงย่อมปรากฏขึ้นในขณะขวนขวายประกอบกรรมนั้น ๆ ภาวะที่ติดมาแต่อดีตนั้น จึงเข้าใจว่าเป็นวิบากนั่นเอง แต่การที่จะชี้เฉพาะเจาะจงลงไปว่า วิบากใด เป็นผลของกรรมอันไหน ได้ทำไว้แล้วเมื่อใด ย่อมไม่อาจชี้เจาะจงลงได้ และยิ่งกว่านั้น พระพุทธองค์ยังทรงแสดงไว้ในจตุกนิบาตอังคุตรพระบาลีว่า การค้นหาวิบากกรรมนั้น เป็นสิ่งไม่ควรคิดเพราะไม่ใช่วิสัยของผู้ใด เว้นแต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะค้นคิดได้พระองค์ตรัสมีใจความว่า

“ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย สิ่งไม่ควรคิด ที่ชื่อว่า อจินไตยธรรม มีอยู่ ๔ ประการ และถ้ามีผู้ใดเอามาคิด ผู้นั้นอาจจะเป็นบ้า มีความลำบากใจเป็นแน่แท้ สิ่งที่ไม่ควรคิด ๔ อย่างนั้น คืออะไรบ้าง?

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย

พุทธวิสัย คือ เรื่องเกี่ยวกับพระสัพพัญญุตญาณ ความเป็นไปและอานุภาพของพระสัพพัญญุตญาณ พระพุทธคุณแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นสิ่งที่ไม่ควรคิดอย่างหนึ่ง
ฌานวิสัย คือ ฌานอภิญญาแห่งท่านทั้งหลายผู้ทรงฤทธิ์ ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรคิดอย่างหนึ่ง
กรรมวิบาก คือ ผลแห่งกรรมทั้งหลาย มีทิฏฐธรรมเวทนียกรรมเป็นต้นเป็นสิ่งที่ไม่ควรคิดอย่างหนึ่ง
โลกจินตา คือ ความเป็นไปของโลก อันเป็นที่อาศัยของสัตว์ และสัตว์ทั้งหลาย แผ่นดิน ภูเขา แม่น้ำ ต้นไม้ เป็นต้น เหล่านี้ ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรคิดอย่างหนึ่ง

ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่ไม่ควรคิด ๔ อย่าง ดังกล่าวนี้ ถ้าผู้ใดคิดผู้นั้นจะเป็นบ้า มีความลำบากใจเป็นแน่แท้ การที่พระพุทธองค์ได้ทรงห้ามคิดในเรื่องของวิบากไว้นั้น ก็เพราะสภาวะที่ปรากฏแก่สัตว์ทั้งหลายอยู่ตลอดเวลานั้น ย่อมจะห้ามวิบากไม่ให้เกิดไม่ได้ เพราะสัตว์ทั้งหลายย่อมเป็นผู้ประกอบกรรมให้เป็นไปตามกุศล อกุศลกรรมแห่งตน อันย่อมประพฤติเพื่อความหมุนเวียนเปลี่ยนไปในคติทั้ง ๕ ประการ ที่เรียกว่า "สมังคีตา" สมังคีตา ๕ หมายถึง กุศลกรรม หรืออกุศลกรรมที่สำเร็จลงได้ครั้งหนึ่ง ๆ นั้น ย่อมยังความพร้อมแห่งธรรม ๕ ประการให้เกิดขึ้น คือ

๑. อายุหนสมงฺคิตา ได้แก่ ความเพียร ในขณะกระทำกุศลกรรม อกุศลกรรม
๒. เจตนาสมงฺคิตา ได้แก่ เจตนาในกาลทั้ง ๓ คือ ปุพพเจตนา มุญจเจตนาและอปรเจตนา ในการกระทำกุศล อกุศลกรรม เจตนา สมังคีตานี้ มีในบุคคลทั่วไป เว้นแต่ในพระอรหันต์
๓. กมุมสมงฺคิตา ได้แก่ กุศลกรรม อกุศลกรรม อันเป็นเหตุที่จะก่อให้เกิดผลในอนาคต ครบองค์แห่งกรรมบถ
๔. วิปากสมงฺคิตา ได้แก่ ผลของกุศลกรรม อกุศลกรรมในอดีตที่ประกอบพร้อมด้วยกรรมในปัจจุบัน ถ้ายังไม่ถึงซึ่งพระนิพพานตราบใด ย่อมไม่แคล้วคลาดไปจากวิปากสมังคีตาอยู่ตราบนั้น คือ จะต้องรับผลของกรรมนั้นๆ
๕. อุปฎฐานสมงฺคิตา ได้แก่ กรรมอารมณ์ กรรมนิมิตอารมณ์ หรือคตินิมิตอารมณ์ที่ปรากฏขึ้นในเวลาใกล้จะตายอุปัฏฐานสมังคีตานี้มีกำลังอ่อนกว่าสมังคีทั้งปวงอำนาจของกรรมที่จะส่งผลย่อมกระทำอารมณ์ให้ปรากฏเมื่อใกล้ตาย

มหากุศลจิต ๘

กามาวจรกุศลจิต หรือมหากุศลจิต เป็นจิตที่ประกอบด้วยเจตนาที่ดีงาม จึงเป็นจิตที่ไม่มีโทษและให้ผลเป็นความสุข และยังสามารถให้ผลเกิดขึ้นได้มากกว่าตน คือให้เกิดผลเป็นอเหตุกกุศลวิบากจิต ๘ ดวง และมหาวิบากจิต ๘ ดวง ยิ่งกว่านั้นที่ชื่อว่า “มหากุศลจิต” นั้น เพราะเหตุที่

ก. เป็นจิตที่เกิดได้กว้างขวางในอารมณ์ ๖ คือเกิดได้ในอารมณ์ที่เป็นรูป, เสียง, กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์ ทั้งเป็นจิตที่ดีงามที่เกิดขึ้นได้กว้างขวางทั่วไปไม่จำกัดขอบเขตภพภูมิ และประเภทแห่งสัตว์และบุคคล กล่าวคือเกิดได้ในภูมิต่าง ๆ ตลอด ๓๐ ภูมิ ตั้งแต่นิรยภูมิ จนถึงเนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ (เว้นอสัญญสัตตภูมิ) และเกิดได้ในจิตสันดานของสัตว์ทั้งหลาย ตั้งแต่อบายสัตว์ มนุษย์ เทวดา รูปพรหม (เว้นอสัญญสัตตพรหม) และอรูปพรหม เกิดได้ในบุคคลทั่วไป เว้นแต่ในจิตสันดานของมรรคบุคคลกับพระอรหันต์ทั้งหลายเท่านั้น

ข. เป็นจิตเป็นที่ตั้งแห่งการบำเพ็ญทาน รักษาศีล และภาวนาเบื้องต้นให้เกิดฌาน มรรค ผล ตลอดจนน้อมเอาอารมณ์พระนิพพาน (ขณะที่มหากุศลจิตเข้าถึงโคตรภูญาณ และปัจจเวกขณญาณ) อีกด้วย

สภาพจิต ซึ่งประกอบด้วยเจตนาที่ดีงาม อันเป็นกามาวจรกุศลนี้ จึงชื่อว่า “มหากุศลจิต” ด้วยเหตุดังกล่าว และมหากุศลจิต จำแนกออกได้เป็น ๘ ประเภท คือ

๑. โสมนสุสสหคตํ ญาณสมฺปยุตตํ อสงฺขาริกํ จิตที่เกิดขึ้นพร้อมกับความยินดี ประกอบด้วยปัญญา โดยไม่มีการชักชวน
๒. โสมนสุสสหคตํ ญาณสมฺปยุตตํ สสงฺขาริกํ จิตที่เกิดขึ้นพร้อมกับความยินดี ประกอบด้วยปัญญา โดยมีการชักชวน
๓. โสมนสุสสหคตํ ญาณวิปฺปยุตตํ อสงฺขาริกํ จิตที่เกิดขึ้นพร้อมกับความยินดี ไม่ประกอบด้วยปัญญา โดยไม่มีการชักชวน
๔. โสมนสุสสหคตํ ญาณวิปฺปยุตตํ สสงฺขาริกํ จิตที่เกิดขึ้นพร้อมกับความยินดี ไม่ประกอบด้วยปัญญา โดยมีการชักชวน
๕. อุเบกขาสหคตํ ญาณสมฺปยุตตํ อสงฺขาริกํ จิตที่เกิดขึ้นพร้อมกับความเฉยๆ ประกอบด้วยปัญญา โดยไม่มีการชักชวน
๖. อุเบกขาสหคตํ ญาณสมฺปยุตตํ สสงฺขาริกํ จิตที่เกิดขึ้นพร้อมกับความเฉยๆ ประกอบด้วยปัญญา โดยมีการชักชวน
๗. อุเบกขาสหคตํ ญาณวิปฺปยุตตํ อสงฺขาริกํ จิตที่เกิดขึ้นพร้อมกับความเฉยๆ ไม่ประกอบด้วยปัญญา โดยไม่มีการชักชวน
๘. อุเบกขาสหคตํ ญาณวิปฺปยุตตํ สสงฺขาริกํ จิตที่เกิดขึ้นพร้อมกับความเฉยๆ ไม่ประกอบด้วยปัญญา โดยมีการชักชวน


🔅 แสดงการจำแนกมหากุศลจิต ๘ ดวง

มหากุศลจิต
    โสมนัส
        - ญาณสัมปยุต > อสังขาริก ๑
                                > สสังขาริก ๑
        - ญาณวิปปยุต > อสังขาริก ๑
                                > สสังขาริก ๑

    อุเบกขา
        - ญาณสัมปยุต > อสังขาริก ๑
                                > สสังขาริก ๑
        - ญาณวิปปยุต > อสังขาริก ๑
                                > สสังขาริก ๑

ข้อควรสังเกต
มหากุศลจิตที่จำแนกออกไปได้เป็น ๘ ดวงนั้น เพราะอาศัยสภาพธรรม ๓ ประการ คือ เวทนา ญาณ และสังขาร เป็นตัวการที่ปรุงแต่งจิตให้ผิดแผกแตกต่างกันไป คล้ายกับสภาพของเวทนา ทิฏฐิ และสังขาร ที่จำแนกโลภมูลจิตให้แตกต่างกันไปได้ ๘ ดวง ฉะนั้น


🔅 แสดงการจำแนกมหากุศลจิต ๘ โดยธรรม ๓ ประการ

๑. มหากุศลจิต ๘ โดยประเภทแห่งเวทนา
  • โสมนัส ๔
  • อุเบกขา ๔
๒. มหากุศลจิต ๘ โดยประเภทแห่งญาณ

  • ญาณสัมปยุต ๔
  • ญาณวิปปยุต ๔

๓. มหากุศลจิต ๘ โดยประเภทแห่งสังขาร

  • อสังขาริก ๔
  • สสังขาริก ๔


๑. มหากุศลจิต ๘ ดวง นั้น เมื่อกล่าวโดยประเภทแห่งเวทนาแล้ว มหากุศลจิตย่อมเกิดพร้อมกับเวทนาได้ ๒ เวทนา คือ เกิดพร้อมกับโสมนัสเวทนา และเกิดพร้อมกับอุเบกขาเวทนา หมายความว่า จิตที่เป็นไปในการกระทำความดีของสัตว์ทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความดีของสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น ย่อมเป็นไปพร้อมกับความรู้สึกปีติยินดีมาก ที่เรียกว่า โสมนัสเวทนา หรือมิฉะนั้นก็เป็นไปพร้อมกับความรู้สึกเฉยๆ ที่เรียกว่า อุเบกขาเวทนา จะเป็นไปพร้อมกับความรู้สึกเฉยๆ นั้น ย่อมขึ้นอยู่กับ ศรัทธา ของผู้กระทำ ถ้าผู้กระทำมีศรัทธามาก การกระทำความดีนั้นเป็นไปพร้อมด้วยความรู้สึกยินดีมาก แต่ผู้กระทำมีศรัทธาน้อย การกระทำความดีนั้นเป็นไปพร้อมด้วยความรู้สึกเฉยๆ

๒. มหากุศลจิต ๘ ดวง เมื่อกล่าวโดยประเภทแห่งญาณ คือ การประกอบด้วยปัญญาแล้วก็มี ๒ อย่าง คือจิตที่ประกอบด้วยปัญญา เรียกว่า “ญาณสัมปยุต” และจิตที่ไม่ได้ประกอบด้วยปัญญา เรียกว่า “ญาณวิปปยุต

ญาณสัมปยุต หมายถึง ประกอบด้วยปัญญา คือ มีความเห็นถูกต้องตามสภาวะความจริง ปัญญาที่กล่าวนี้ มุ่งหมายเอาปัญญาที่ประกอบกับกามาวจรกุศลจิตเท่านั้น คือ กัมมัสสกตาปัญญา และวิปัสสนาปัญญา กัมมัสสกตาปัญญา หมายถึง ปัญญาที่รู้ว่า สัตว์ทั้งหลายมีสิทธิในการกระทำของตน ทั้งที่เป็นไปในฝ่ายดีและฝ่ายไม่ดีด้วยกันทั้งนั้น ทรัพย์สินเงินทอง บิดา มารดา สามี ภรรยา หรือบุตร ธิดา ทั้งหลาย มิใช่เป็นสิทธิของสัตว์เหล่านั้นโดยแท้ เพราะไม่อาจติดตามสัตว์ทั้งหลายไปในภพอื่นได้ และแม้ในภพนี้ ก็ยังมีสิทธิอันไม่แน่นอนอีกด้วย เพราะอาจมีภัยพิบัติให้ต้องเสียหาย ต้องล้มตาย ต้องพลัดพรากจากกัน หรือถูกแย่งชิงเอาไปได้

กมุม สกํ เยสนฺติ = กมฺมสฺสกา แปลว่า กรรมเป็นกรรมสิทธิ์ของตน มีแก่สัตว์ทั้งหลาย ฉะนั้น สัตว์ทั้งหลาย จึงชื่อว่า กัมมัสกะ

กมฺมสฺสกานํ ภาโว = กมฺมสฺสกตา แปลว่า ความเป็นอยู่แห่งสัตว์ทั้งหลายที่มีกรรมเป็นกรรมสิทธิ์ของตน ชื่อว่า กัมมัสสกตา

กมฺมสฺสกตา ญาณํ = กมฺมสฺสกตาญาณํ แปลว่า ความรู้เหตุผล ในความเป็นอยู่แห่งสัตว์ชื่อว่า กัมมัสสกตาปัญญา

ฉะนั้น ความรู้เหตุผลในความเป็นอยู่ของสัตว์ที่รู้ว่า สัตว์ทั้งหลายมีสิทธิในการกระทำของตน หรือรู้ว่า สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน ความรู้นั้น ชื่อว่า “กัมมัสสกตาปัญญา” และปัญญาย่อมเกิดขึ้นต่อเนื่องกัน ๓ ประการ

🙏 การเกิดขึ้นของปัญญา ๓ ประการ

๑. สุตมยปัญญา ปัญญาใดที่เกิดขึ้นด้วยการศึกษาเล่าเรียน หรือได้ยิน ได้ฟังมา ปัญญานั้น เรียกว่า “สุตมยปัญญา” ปัญญานี้ แก้ความเข้าใจผิดที่เคยได้ยินได้ฟังมา หรือให้เข้าใจในสิ่งที่ยังไม่เคยรู้มาก่อน
๒. จินตามยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการคิดพิจารณาในความเป็นอยู่ของสัตว์ทั้งหลาย โดยความมีโรค ไม่มีโรค โดยความโง่ ความฉลาด สุข หรือทุกข์ อายุยืนหรือสั้น ยากจนหรือมั่งมี เหล่านี้ เป็นต้น หรือปัญญาใดที่เคยได้ยินได้ฟังมาแล้วนำมานึกคิด หรืออนุมานโดยเทียบเคียงตามวัตถุเหล่านั้นว่า ไม่เที่ยง เป็นต้น โดยอาศัยกาลทั้ง ๓ (อดีต ปัจจุบัน อนาคต) ปัญญานี้ เรียกว่า “จินตามยปัญญา
๓. ภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการเจริญภาวนา ได้แก่ วิปัสสนาภาวนา ปัญญาใดเข้าไปรู้ความจริงของนามรูปว่า ไม่เที่ยง เป็นต้น ปัญญานั้น เรียกว่า “ภาวนามยปัญญา”

ปัญญาตามที่ได้แสดงมาแล้ว จึงแบ่งได้เป็น ๒ อย่าง คือ ปัญญาที่เป็นเหตุ ได้แก่ปัญญาทั้ง ๓ ดังกล่าวนั้น และ ปัญญาที่เป็นผล ได้แก่ กัมมัสสกตาปัญญาหรือวิปัสสนา ปัญญา แม้ว่า ชนทั้งหลายยังไม่อาจละสักกายทิฏฐิ (ความยึดมั่นในขันธ์ ๕ ว่าเป็นตัวตน) ได้ก็ตาม แต่เมื่อมีความเห็นถูกตรงอยู่ในอารมณ์ ๑๐ ประการที่เรียกว่า ทสวัตถุกสัมมาทิฏฐิ ดังจะกล่าวต่อไปนี้ ก็ชื่อว่า เป็นผู้รู้ว่า สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน ๆ เป็นกัมมัสสกตาปัญญา แต่วิปัสสนาปัญญานั้น ต้องรู้รูป-นามไม่เที่ยง เป็นต้น ย่อมละสักกายทิฏฐิ

🙏 ทสวัตถุกสัมมาทิฏฐิ ๑๐ ประการ

๑. อตฺถิ ทินนํ เห็นว่า การทำบุญให้ทานได้รับผลดีมีประโยชน์
๒. อตฺถิ ยิฏฐํ เห็นว่า การบูชาได้รับผลดีมีประโยชน์
๓. อตฺถิ หุตํ เห็นว่า การเชื้อเชิญ ปฏิสันถาร ได้รับผลดีมีประโยชน์
๔. อตฺถิ สุกตทุกกตานํ กมุมาน ผลํ วิปาโก เห็นว่า การทำดีและทำชั่ว มีการได้รับผลทั้งทางตรงและทางอ้อม
๕. อตฺถิ อยํ โลโก เห็นว่า ภพนี้มีอยู่ คือ ผู้ที่จะมาเกิดในภพนี้มีอยู่
๖. อตฺถิ ปโร โลโก เห็นว่า ภพหน้ามีอยู่ คือผู้ที่จะไปเกิดภพหน้าในอนาคตมี
๗. อตฺถิ มาตา เห็นว่า การทำดีทำชั่วต่อมารดา ย่อมมีผลในภายหน้า
๘. อตฺถิ ปิตา เห็นว่า การทำดีทำชั่วต่อบิดา ย่อมมีผลในภายหน้า
๙. อตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา เห็นว่า สัตว์ที่เติบโตขึ้นทันทีมีอยู่ คือ สัตว์นรก เปรต อสุรกาย เทวดา และพรหม นั้นมี
๑๐. อตฺถิ โลเก สมณพราหมณา สมมาปฏิปันนา เห็นว่า สมณพราหมณ์ ผู้ปฏิบัติชอบประจักษ์แจ้งโลกนี้และโลกหน้าด้วยตนเอง และประกาศให้ผู้อื่นได้นั้น มีอยู่

ความเห็นตรงตามหลักของทสวัตถุกสัมมาทิฏฐิแล้วทุกประการนั้น ชื่อว่า กัมมัสสกตาญาณได้เกิดขึ้นแล้ว การบริจาคทาน การรักษาศีล เจริญภาวนาของผู้นั้น มีอานิสงส์สมบูรณ์เหมือนการเพาะเมล็ดโพธิ์ให้เจริญเป็นต้นโพธิ์ใหญ่ ตรงกันข้ามถ้าทาน ศีล ภาวนา ของผู้ที่ไม่มีกัมมัสสกตาญาณ มีอานิสงส์น้อยเหมือนต้นโพธิ์ที่ให้ผลเกิดเป็นเมล็ดโพธิ์เท่านั้น ทสวัตถุกสัมมาทิฏฐิ อุปมาเหมือนหินฝน ที่ใช้ฝนดูเนื้อทองว่า แท้หรือเทียม หรือเหมือนน้ำกรดที่ใช้หยอดดูเนื้อเงิน, ทอง, นาก ว่าแท้หรือไม่ฉันใด ความเห็นชอบประกอบด้วยปัญญาอาศัยทสวัตถุกสัมมาทิฏฐิเป็นเครื่องมือตรวจกรรมของสัตว์ก็อุปไมยฉันนั้น

วิปัสสนาปัญญา เป็นปัญญาที่รู้ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ อินทรีย์ ๒๒ สัจจะ ๔ และปฏิจจสมุปบาท ๑๒ ว่า เป็นสภาวะของรูปนาม ที่เป็นอนิจจัง ทุกขังและอนัตตา กล่าวคือ มีปัญญารู้ว่า บรรดาสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ ทั้งที่มีชีวิต และไม่มีชีวิตก็ตาม คงมีแต่รูปกับนาม ใน ๒ อย่างนี้เท่านั้น และรูปนามนี้ก็เป็นของไม่เที่ยง เมื่อเกิดขึ้นแล้วย่อมดับไปเสมอ ล้วนเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาทั้งสิ้น ปัญญาใดเข้าไปรู้ความจริงของนามรูปว่าไม่เที่ยง เป็นต้น โดยเข้าไปพิสูจน์แล้วด้วยตนเอง ปัญญานั้นเรียกว่า “วิปัสสนาปัญญา”

ญาณวิปปยุต นั้น แปลว่า ไม่ได้ประกอบด้วยปัญญา ทั้งที่เป็นกัมมัสสกตาปัญญา และวิปัสสนาปัญญาฉะนั้น มหากุศลจิตชนิดที่เป็นญาณวิปปยุตนั้น จึงหมายถึง จิตที่มีเจตนามุ่งกระทำความดี แต่มิได้เป็นไปโดยประกอบด้วยปัญญา เช่น การทำบุญให้ทานตามเทศกาลประเพณี เป็นต้น อาศัยศรัทธาเป็นประธาน

มหากุศลจิต ๘ ดวงเมื่อว่าโดยประเภทแห่งสังขาร คือ ต้องอาศัยมีการชักชวนและไม่ต้องอาศัยการชักชวน ได้แก่ อสังขาริกจิต ๔ ดวง และสสังขาริกจิต อีก ๔ ดวง ตาม นัยเดียวกันกับโลภมูลจิต ๘ ดวง นั่นเอง

🙏 แสดงการจําแนกกามาวจรกุศลโดยเหตุ
กามาวจรกุศลนี้ เมื่อจำแนกโดยเหตุแล้ว มี ๒ อย่าง คือ ติเหตุกกุศล และทวิเหตุกกุศล

ติเหตุกกุศล
ในการกระทำกุศลต่าง ๆ มีการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา เป็นต้น จะกระทำด้วยกาย วาจา หรือใจ ก็ตาม ถ้ากุศลจิตของผู้กำลังกระทำกุศลอยู่นั้นประกอบด้วยกัมมัสสกตาญาณ หรือวิปัสสนาญาณ อย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว กุศลกรรมชนิดนี้ ชื่อว่า “ติเหตุกกุศล” เพราะเป็นกุศลกรรม ที่ประกอบด้วยเหตุ ๓ ประการ คือ อโลภเหตุ อโทสเหตุ และอโมหเหตุ องค์ธรรมได้แก่ มหากุศลญาณสัมปยุตจิต ๔

ทวิเหตุกกุศล
ในการกระทำกุศลต่าง ๆ มีการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา เป็นต้น จะกระทำด้วยกาย วาจา หรือใจ ก็ตาม ถ้ากุศลจิตของผู้ที่กำลังกระทำกุศลอยู่นั้นมิได้ประกอบด้วยกัมมัสสกตาญาณ หรือวิปัสสนาญาณแต่อย่างใด กุศลกรรมชนิดนี้ ชื่อว่า “ทวิเหตุกกุศล” เพราะเป็นกุศลกรรม ที่ประกอบด้วยกุศลเหตุเพียง ๒ ประการ คือ อโลภเหตุ และอโทสเหตุเท่านั้น (ไม่ประกอบด้วยอโมหเหตุ) ฉะนั้น องค์ธรรม จึงได้แก่มหากุศลญาณวิปปยุตจิต ๔ ดวง

🙏 แสดงการจําแนกกามาวจรกุศลโดยเจตนา

ในการกระทำกุศลอย่างใดอย่างหนึ่งนั้น ไม่ว่าจะเป็นติเหตุกกุศล หรือทวิเหตุกกุศล ก็ตาม ย่อมประกอบด้วยเจตนาในกาลทั้ง ๓ คือ
๑. ปุพพเจตนา เจตนาที่เกิดขึ้นก่อนการกระทำ
๒. มุญจฺเจตนา เจตนาที่เกิดขึ้นในขณะกำลังกระทำ
๓. อปรเจตนา เจตนาที่เกิดขึ้นในภายหลัง เมื่อกระทำไปแล้ว

ติเหตุกกุศล และทวิเหตุกกุศลนั้น เมื่อจำแนกออกโดยอำนาจแห่งเจตนาดังกล่าวแล้ว ย่อมได้อย่างละ ๒ ชนิด คือ

๑. อุกกัฏฐกุศล หมายถึง กุศลชั้นสูง คือ ในการกระทำกุศลต่าง ๆ มีทาน ศีล ภาวนาเป็นต้น ก่อนจะทำก็ดี ขณะกำลังกระทำก็ดี หรือภายหลังที่ทำเสร็จแล้วก็ดี ถ้าจิตของผู้กระทำนั้น ไม่มีอกุศลเจือปน คือ มีเจตนาบริสุทธิ์ในกาลทั้ง ๓ ด้วยเหตุนี้ ทานกุศล ศีลกุศล หรือภาวนากุศลที่เกิดขึ้นแก่ผู้นั้น จะเป็นเหตุกกุศลหรือทวิเหตุกกุศล ก็ตาม จัดเป็นอุกกัฏฐกุศล คือ กุศลชั้นสูง
๒. โอมกกุศล หมายถึง กุศลชั้นต่ำ คือ ในการกระทำกุศลต่าง ๆ มีทาน ศีล ภาวนา เป็นต้น ก่อนจะทำก็ดี ขณะกำลังกระทำก็ดี หรือภายหลังที่ทำเสร็จแล้วก็ดี ถ้าจิตของผู้กระทำ นั้นมีอกุศลเข้าเจือปน คือมีเจตนาไม่บริสุทธิ์ในกาลทั้ง ๓ ด้วยเหตุนี้ ทานกุศล ศีลกุศลหรือภาวนากุศล ที่เกิดขึ้นแก่ผู้นั้น จะเป็นเหตุกกุศล หรือทวิเหตุกกุศลก็ตาม จัดเป็นโอมกกุศล คือ กุศลชั้นต่ำทั้งสิ้น

🔅 จำแนกติเหตุกกุศล และ ทวิเหตุกกุศลโดยอุกกัฏฐะ และ โอมกะ

ติเหตุกกุศล

  • อุกกัฏฐะ คือ กุศลชั้นสูง
  • โอมกะ คือ กุศลชั้นต่ำ

ทวิเหตุกกุศล

  • อุกกัฏฐะ คือ กุศลชั้นสูง
  • โอมกะ คือ กุศลชั้นต่ำ

บรรดา เจตนา ที่เป็นเครื่องตัดสินกุศลกรรมว่า เป็นชนิดอุกกัฏฐกุศล หรือ โอมกกุศลนั้น อปรเจตนา มีความสำคัญมากกว่าปุพพเจตนาและมุญจเจตนา เพราะอปรเจตนาเป็นเจตนาที่เกิดขึ้นภายหลังจากการทำกุศลนั้น ๆ สำเร็จแล้วแม้ปุพพเจตนาหรือมุญจเจตนา จะไม่บริสุทธิ์ แต่อปรเจตนาบริสุทธิ์ก็จัดว่า เป็นอุกกัฏฐกุศล แต่ถ้าปุพพเจตนาและมุญจเจตนาบริสุทธิ์อปรเจตนาไม่บริสุทธิ์กุศลนั้น จัดเป็นโอมกกุศล ด้วยเหตุนี้อปรเจตนา จึงมีความสำคัญมากในการตัดสินว่ากุศลนั้นเป็นกุศลชนิดอุกกัฏฐกุศล หรือ โอมกกุศล

อปรเจตนานี้ ท่านอรรถกถาจารย์ได้จำแนกพิสดารออกไปอีก เป็น "อปราปรเจตนา" นั้น คือเจตนาที่เกิดขึ้นภายหลังอปรเจตนาได้เกิดล่วงไปแล้ว ๑ วัน หรือ ๑ เดือน เป็นต้น กล่าวคือ เมื่อได้นึกถึงการบริจาคทาน รักษาศีล เจริญภาวนาของตนที่ได้ทำไปแล้ว แม้จะล่วงเลยมาหลายวันหลายเดือนแล้วก็ตาม แต่ความปีติ โสมนัสศรัทธา และปัญญาอันมีในกุศลของตนนั้นยังเกิดอยู่เสมอๆ เจตนาที่เป็นความคิดคำนึงในหนหลังนี้ จัดเป็นกุศลอปราปรเจตนา ถ้าการบริจาคทาน รักษาศีล เจริญภาวนาของตนที่ได้ทำไปแล้วในเวลาต่อๆ มา เกิดความเสียดาย กลุ้มใจ หรือมิฉะนั้นเกิดความยินดีเพลิดเพลินเกี่ยวด้วยตัณหา หรือเกิดความผยองในใจว่า เราทำได้ดีกว่าผู้อื่นอันเป็นตัวมานะอปราปรเจตนาเป็นอกุศล กุศลกรรมนั้นๆ ก็จัดเป็นกุศลชนิดโอมกะ

ฉะนั้น เมื่อจะจำแนกอุกกัฏฐกุศล และโอมกกุศล ทั้งที่เป็นเหตุกกุศล และ ทวิเหตุกกุศลโดยอปราปรเจตนาแล้ว ย่อมจำแนกได้ ๘ ประการ

🔅 แสดงการจำแนกอุกกัฏฐะ และ โอมกะของติเหตุกกุศล และทวิเหตุกกุศลโดยอปราปรเจตนา

ติเหตุกกุศล

  • อุกกัฏฐะ  > ติเหตุกอุกกัฏฐุกกัฏฐะ
                   >  ติเหตุกอุกกัฏโฐมกะ
  • โอมกะ    >  ติเหตุกโอมกุกกัฏฐะ
                   >  ติเหตุกโอมโกมกะ

ทวิเหตุกกุศล

  • อุกกัฏฐะ  > ทวิเหตุกอุกกัฏฐุกกัฏฐะ
                   >  ทวิเหตุกอุกกัฏโฐมกะ
  • โอมกะ    >  ทวิเหตุกโอมกุกกัฏฐะ
                   >  ทวิเหตุกโอมโกมกะ

ความเป็นไปของเหตุกกุศล และ ทวเหตุกกุศลทั้ง ๘ ประการนี้ อาศัยมุญจเจตนาเป็นตัวนำ และอาศัย อปรเจตนา กับ อปราปรเจตนา เป็นตัวจำแนกกล่าวคือ ขณะที่มุญจเจตนาเกิดขึ้นประกอบด้วยไตรเหตุ ชื่อว่า "ติเหตุกกุศล" แต่ถ้าขณะมุญจเจตนาประกอบด้วยทวิเหตุ (ไม่มีอโมหะประกอบ) ก็ชื่อว่า "ทวิเหตุกกุศล" ทั้งติเหตุกกุศล และ ทวิเหตุกกุศลเหล่านี้ ถ้าเกิดขึ้นขณะที่...

อปรเจตนาดี และ อปราปรเจตนาก็ดี จัดเป็น อุกกัฏฐุกกัฏฐะ
อปรเจตนาดี และ อปราปรเจตนาไม่ดี จัดเป็น อุกกัฏโฐมกะ

อปรเจตนาไม่ดี แต่อปราปรเจตนาดี จัดเป็น โอมกุกกัฏฐะ
อปรเจตนาไม่ดี และ อปราปรเจตนาก็ไม่ดี จัดเป็น โอมโกมกะ

🙏 กามาวจรกุศลกรรม

กามาวจรกุศลกรรม หมายถึง การกระทำความดี หรือการกระทำสุจริตที่เกี่ยวข้องด้วยกามารมณ์ มีรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส เป็นต้น และกรรมดีหรือสุจริตกรรมนั้น ย่อมเกิดขึ้นได้ด้วยอำนาจของเจตนาที่มีอยู่ในมหากุศลจิตเป็นประการสำคัญ จึงสำเร็จเป็นการงานที่ชื่อว่า “กามาวจรกุศลกรรม” หรือ “กามกุศลกรรม” 

กามาวจรกุศลกรรม หรือกามกุศลกรรมนี้ มีการแสดงไว้เป็น ๒ นัย คือ
๑. โดยกรรมทวาร
๒. โดยบุญกิริยาวัตถุ

จะได้แสดงนัยทั้ง ๒ นี้ ต่อไปโดยลำดับ

👉ก. กามาวจรกุศลว่าโดยกรรมทวาร 
กามาวจรกุศล เมื่อว่าโดยกรรมทวารแล้ว มีอยู่ ๓ ทวาร คือ
๑. กรรมที่เกิดขึ้นทางกาย เรียกว่า “กายกรรม”
๒. กรรมที่เกิดขึ้นทางวาจา เรียกว่า “วจีกรรม”
๓. กรรมที่เกิดขึ้นทางใจ เรียกว่า “มโนกรรม”

และเมื่อว่าโดยประเภทแห่งกุศลกรรมแล้วมี ๑๐ อย่าง

กายกรรม ๓ คือ

  • ๑. ปาณาติปาตวิรติ เว้นจากการฆ่าสัตว์
  • ๒. อทินนาทานวิรติ เว้นจากการลักทรัพย์
  • ๓. กาเมสุมิจฉาจารวิรติ เว้นจากการประพฤติผิดทางเพศ
วจีกรรม ๔ คือ

  • ๑. มุสาวาทวิรติ เว้นจากการกล่าวเท็จ
  • ๒. ปิสุณวาจาวิรติ เว้นจากการกล่าวส่อเสียด
  • ๓. ผรุสวาจาวิรติ เว้นจากการกล่าวคำหยาบ
  • ๔. สัมผัปปลาปวิรติ เว้นจากการกล่าวคำที่ไม่เป็นประโยชน์

มโนกรรม ๓ คือ

  • ๑. อนภิชฌา สังวรเพื่อไม่ให้ความโลภเกิด
  • ๒. อพยาปาท สังวรเพื่อไม่ให้พยาบาทเกิด
  • ๓. สัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกต้อง

กามาวจรกุศลกรรม ๑๐ ประการนี้ เรียกว่า "กุศลกรรมบถ ๑๐ หรือ สุจริต ๑๐"

🙏  องค์ธรรมของกุศลกรรมบถ ๑๐

กายกรรม ๓ องค์ธรรมได้แก่ สัมมากัมมันตเจตสิก สัมมาอาชีวเจตสิก
วจีกรรม ๔ องค์ธรรมได้แก่ สัมมาวาจาเจตสิก สัมมาอาชีวเจตสิก
มโนกรรม ๓ อนภิชฌา องค์ธรรมได้แก่ อโลภเจตสิก
                    อพยาปาท องค์ธรรมได้แก่ อโทสเจตสิก
                    สัมมาทิฏฐิ องค์ธรรมได้แก่ ปัญญาเจตสิก


👉 ข. กามาวจรกุศลโดยบุญกิริยาวัตถุ

บุญกิริยาวัตถุ มาจากคำบาลีว่า "ปุญญกริยาวตฺถุ"
ปุญฺญ หมายถึง ความดีที่ชำระความเศร้าหมองเร่าร้อน
กริย หมายถึง ควรกระทำ
วัตถุ หมายถึง เป็นเหตุเป็นที่ตั้งแห่งผลดี

ฉะนั้น บุญกิริยาวัตถุ จึงแปลความว่า ความดีที่ควรกระทำ เพราะเป็นเหตุเป็นที่ตั้งแห่งผลดีที่เกิดขึ้น คือ เป็นสิ่งที่ให้สำเร็จเป็นบุญเป็นกุศล พร้อมทั้งอานิสงส์ผลที่ผู้กระทำพึงได้รับ ตามสมควรแก่โอกาส

🔅 กามาวจรกุศลกรรมที่เป็นบุญกิริยาวัตถุนี้ มี ๑๐ ประการ

๑. ทาน การให้สิ่งที่เป็นประโยชน์สุขแก่ผู้รับ
๒. ศีล การระวังรักษากาย วาจา ให้ตั้งอยู่ในศีล
๓. ภาวนา การเจริญสมถะ และวิปัสสนา
๔. อปจายนะ การคารวะอ่อนน้อมแก่ผู้เจริญด้วยชาติวุฒิวัยวุฒิและคุณวุฒิ
๕. เวยยาวัจจะ การเข้าช่วยเหลือกิจการงานเกี่ยวกับปริยัติ และปฏิบัติ
๖. ปัตติทานะ การอุทิศแผ่กุศลให้ผู้อื่น
๗. ปัตตานุโมทนา การอนุโมทนารับส่วนบุญที่เขาอุทิศให้
๘. ธรรมสวนะ การตั้งใจฟังธรรม
๙. ธรรมเทศนา การแสดงธรรม
๑๐. ทิฏฐชุกรรม การทำความเห็นให้ถูกต้องตามความเป็นจริง

บุญกิริยาวัตถุทั้ง ๑๐ ประการนี้เป็นการงานของจิต ซึ่งประกอบด้วยเจตนาที่ดีงาม อันเป็นเหตุให้เกิดผลดีมีสุข ฉะนั้น จิตที่จัดว่าเป็นมหากุศลจิตนั้น จึงต้องเป็นจิตที่เป็นไปในอารมณ์แห่งบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ประการ ดังกล่าวแล้ว

🔅 สงเคราะห์บุญกิริยาวัตถุ โดย ทาน ศีล ภาวนา

บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ประการ เมื่อจะสงเคราะห์ลงในประเภทแห่งทาน ศีล และภาวนา ได้ดังนี้ คือ

สงเคราะห์ในทาน ได้แก่

  • ๑. ทาน
  • ๒. ปัตติทาน
  • ๓. ปัตตานุโมทนา

สงเคราะห์ในศีล ได้แก่

  • ๑. ศีล
  • ๒. อปจายนะ
  • ๓. เวยยาวัจจะ

สงเคราะห์ในภาวนา ได้แก่

  • ๑. ภาวนา
  • ๒. ธรรมสวนะ
  • ๓. ธรรมเทศนา
  • ๔. ทิฏฐชุกรรม

อนึ่ง ตามนัยแห่งพุทธภาษิตอรรถกถา แสดงว่า ธรรมสวนะ คือ ให้การฟังธรรมด้วยสัจจะเคารพ และธรรมเทศนา คือ การแสดงธรรมเพื่อให้เป็นธรรมทาน สงเคราะห์ลงใน ทาน ก็ได้ ดังพุทธพจน์ที่ว่า สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ การให้ธรรมย่อมชนะการให้ทั้งปวง และส่วนทิฏฐธุกรรมนั้น ก็สงเคราะห์ลงในทาน ศีล ภาวนาได้ทั้ง ๓ ประการ เพราะในสังคีติสูตร ปาฏิกวรรค อรรถกถา แสดงว่า ทิฏฐชุกมุมํ สพเพสํ นิยมกฺขณํ หมายความว่า ทิฏฐธุกรรม คือปัญญาที่เห็นถูกต้องตรงตามความจริง ถ้าการบำเพ็ญทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา โดยไม่มีทิฏฐธุกรรมประกอบด้วยแล้ว การให้ผลของทาน ศีล ภาวนาเหล่านั้นก็ไม่สมบูรณ์ มีการขาดตกบกพร่อง และยิ่งกว่านั้น ทิฏฐธุกรรมนี้เป็นที่ตั้งและเป็นปัจจัยให้เกิดบุญกิริยาวัตถุอื่นๆ ทั้งปวง จึงสงเคราะห์ลงในทาน ศีล และภาวนา ได้ทั้งสิ้น

🔅 เหตุให้เกิดมหากุศล

เหตุที่ทำให้เกิดกามาวจรกุศลจิต หรือมหากุศลจิตเกิดขึ้นได้นั้น ย่อมอาศัย “โยนิโสมนสิการ” คือ การพิจารณาอารมณ์โดยแยบคาย กล่าวคือ เมื่อจิตกระทบกับอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งทางทวารทั้ง ๖ ก็มีการพิจารณากำหนดถึงสภาวะความจริงที่ปรากฏขึ้นแห่งอารมณ์นั้นๆ การพิจารณากำหนดตามสภาวะความจริงที่ปรากฏนั้นชื่อว่า มี โยนิโสมนสิการ แต่การที่จะมี โยนิโสมนสิการต่ออารมณ์ที่กระทบจิตนั้น ย่อมอาศัยเหตุอดีต และปัจจุบัน ๕ ประการ คือ 

๑. ปุพเพกตปุญญตา เคยสร้างบุญไว้แต่ชาติปางก่อน
๒. ปฏิรูปเทสวาส ได้อยู่ในประเทศที่สมควร มีพุทธศาสนา
๓. สปปุริสปนิสสย ได้คบหาสมาคมกับสัปบุรุษ
๔. สทฺธมฺมสฺสวน ได้ฟังธรรมของสัปบุรุษ
๕. อตฺตสมมาปณิธิ ตั้งตนไว้ชอบ

เหตุให้เกิดโยนิโสมนสิการทั้ง ๕ ประการดังกล่าวนี้ ประการแรกอาศัยอดีตกรรมเป็นเหตุ ส่วนที่เหลืออีก ๔ ประการ อาศัยปัจจุบันกรรม เป็นเหตุ

แสงธรรมนำทาง...

สคริปเก่า