แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ พระอภิธัมมัตถสังคหะ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ พระอภิธัมมัตถสังคหะ แสดงบทความทั้งหมด

กิจจสังคหะ

แสดงการรวบรวมจิต เจตสิก โดยประเภทแห่งกิจชื่อว่า “กิจจสังคหะ

คาถาสังคหะ
ปฏิสนฺธาทโย นาม-  กิจฺจเภเทน จุทฺทส
ทสธา ฐานเภเทน   จิตฺตุปฺปาทา ปกาสิตา ฯ

แปลความว่า บรรดาจิตทั้งหลายที่ปรากฏขึ้น มีปฏิสนธิจิต เป็นต้น ว่าโดยประเภทแห่งกิจ มี ๑๔ กิจ ว่าโดยประเภทแห่งฐาน มี ๑๐ ฐาน

🔅 อธิบาย

ในบรรดาการงานทั้งหลาย ที่เกี่ยวด้วย กาย, วาจา หรือใจ ต่าง ๆ เหล่านี้ จะสำเร็จลุล่วงลงได้ ก็ล้วนแต่จะต้องอาศัยจิตและเจตสิก เป็นผู้ควบคุมและสั่งการให้การงานที่เกี่ยวด้วย กาย, วาจา ใจ ต่าง ๆ เหล่านั้น เป็นไปได้จนเป็นผลสำเร็จ กล่าวคือ ทางกาย ให้สำเร็จเป็นการกระทำต่าง ๆ มีการนั่ง-นอน-ยืน-เดิน-ขีด-เขียน เป็นต้น การงานเหล่านี้สำเร็จลงได้ เพราะจิตเจตสิกสั่งให้กระทำ ถ้าจิตเจตสิกไม่สั่งให้กระทำแล้ว การงานนั้นๆ ก็จะสำเร็จลงไม่ได้

ทางวาจา ให้สำเร็จเป็นการพูด, การอ่าน, การร้องเพลง, ร้องไห้, การปาฐกถา, การแสดงธรรม, การด่าทอ-บริภาษ เป็นต้น เหล่านี้สำเร็จลงได้เพราะจิตและเจตสิกสั่งให้กระทำ ถ้าจิตและเจตสิกไม่สั่งให้พูดแล้ว การงานนั้นก็จะสำเร็จลงไม่ได้แน่นอน

ทางใจ การงานที่เกี่ยวกับใจ มีการคิดนึกเรื่องราวต่าง ๆ นั้น จิตและเจตสิกเป็นผู้สั่งตนเองให้กระทำการคิดถึง ไม่ได้สั่งให้กายหรือวาจากระทำ อุปมา


ปกิณณกสังคหวิภาค จิต เจตสิกนั้น เหมือนหัวหน้าผู้บริหารงานต่าง ๆ มีหน้าที่สั่งให้ผู้อื่นทำ คือ กายและวาจาเป็นผู้กระทำการงาน เป็นการทำงาน, การพูด และสั่งตนเอง คือ สั่งให้ จิต-เจติก คิดนึกเรื่องราวต่างๆ อีกด้วย ข้อนี้แสดงให้เห็นว่า จิต เจตสิก เกิดขึ้นและดับไปเหมือนกระแสน้ำ มีความเป็นไปแห่งจิต เจตสิกรวดเร็ว ดุจแล่นไปในอารมณ์อยู่ตลอดเวลาและด้วยสามารถยังกิจต่างๆ ให้สำเร็จหลายๆ อย่าง โดยที่จิต เจตสิกนั้นเป็นประธานในธรรมทั้งปวง มีการนั่ง, นอน, พูด และคิดนึก เป็นต้น

ฉะนั้น จิต เจตสิกทุกดวงที่ปรากฏขึ้นนั้น ย่อมมีหน้าที่การงานของตน ๆ อยู่เสมอ จิต เจตสิกจะปรากฏขึ้นโดยไม่มีหน้าที่การงานอะไรเลยนั้นย่อมไม่มี อนึ่ง การทำกิจการงานของจิต เจตสิกนั้น จำเป็นต้องมีสถานที่อันเป็นที่ตั้งแห่งการงานนั้น สถานที่ทำกิจของจิต เจตสิกเหล่านี้ ชื่อว่า ฐาน

ถ้าจะอุปมาแล้ว จิต เจตสิก เปรียบเหมือนผู้ทำงาน กิจ เปรียบเหมือนการงานต่าง ๆ ฐาน เปรียบเหมือนสถานที่ทำงาน ความสำเร็จแห่งการงานต่างๆ นั้น จึงย่อมประกอบด้วย จิต เจตสิก กิจ คือ หน้าที่การงาน และฐาน คือ สถานที่ทำงาน เรื่องจิต เจตสิกนั้นได้แสดงมาแล้วในปริจเฉทก่อนๆ ต่อนี้ไปจะได้แสดง กิจและฐาน โดยลำดับต่อไป


แสดงกิจของจิต ๑๔ 

หน้าที่ของจิต เจตสิก ที่ทำกิจการงานทั้งหมดนั้น มีอยู่ ๑๔ อย่าง คือ

๑. ปฏิสนธิกิจ ทำหน้าที่สืบต่อภพใหม่ คือ หน้าที่ของจิต ที่ทำหน้าที่เกิดขึ้นสืบต่อไปในภพใหม่ เป็นขณะจิตแรกที่ปรากฏขึ้นในภพใหม่นั้น และจะปรากฏขึ้นเพียงขณะจิตเดียวเท่านั้นในภพชาติหนึ่ง ๆ

๒. ภวังคกิจ ทำหน้าที่รักษาองค์แห่งภพ คือ จิตที่ทำหน้าที่รักษาองค์แห่งภพ หมายความถึงรักษากรรมวิบากของรูปธรรม นามธรรม สืบต่อจากปฏิสนธิวิบากจิต และปฏิสนธิกัมมชรูป ให้ดำรงอยู่ได้ในภพนั้นๆ ตราบเท่าอำนาจแห่งชนกกรรมจะส่งผลให้เป็นไปเท่าที่อายุสังขาร จะพึงตั้งอยู่ได้ ภวังคจิตนี้ เป็นหน้าที่ตามธรรมดาของจิต ที่จะต้องทำกิจนี้อยู่เสมอ จิตจะหยุดทำกิจนี้ ก็ต่อเมื่อขณะที่มีอารมณ์ใหม่ในปัจจุบันมาคั่นตอน ให้จิตขึ้นวิถีรับอารมณ์ใหม่ในปัจจุบันเสียเท่านั้น พ้นจากการขึ้นวิถีรับอารมณ์ใหม่แล้ว จิตจะต้องทำหน้าที่ในการรักษาองค์แห่งภพนี้อยู่เสมอตลอดเวลา

๓. อาวัชชนกิจ ทำหน้าที่พิจารณาอารมณ์ที่ปรากฏใหม่ คือ จิต ทำหน้าที่พิจารณาอารมณ์ ๖ ที่มาถึงตนทั้งทางปัญจทวารหรือทางมโนทวาร เป็นจิตขณะแรกที่ทิ้งจากภวังคกิจ แล้วจะต้องทำหน้าที่อาวัชชนกิจนี้ทันที หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า เป็นจิตที่ทำหน้าที่ต้อนรับอารมณ์ใหม่ในปัจจุบันภพ กล่าวได้ว่าเป็นจิตดวงที่ขึ้นวิถีรับอารมณ์ใหม่

๔. ทัสสนกิจ ทำหน้าที่เห็น คือ จิตที่ทำหน้าที่เห็นรูปารมณ์ จิตนี้มีชื่อเรียกว่าจักขุวิญญาณเพราะอาศัยจักขุวัตถุรู้เห็นรูปารมณ์ ถ้าไม่มีจักขุปสาททำหน้าที่เป็นจักขุวัตถุแล้วทัสสนกิจ คือจิตที่ทำหน้าที่เห็นจะเกิดขึ้นไม่ได้ และจิตที่ทำหน้าที่เห็นนี้ ในวิถีจิตหนึ่ง ๆ ทัสสนกิจ จะมีได้เพียงขณะจิตเดียว คือ ขณะที่จักขุวิญญาณเกิดขึ้นในจักขุทวารวิถีเท่านั้น

๕. สวนกิจ ทำหน้าที่ได้ยิน คือ จิตที่ทำหน้าที่ได้ยินสัททารมณ์ จิตนี้มีชื่อว่าโสตวิญญาณเพราะอาศัยโสตวัตถุเกิด เพื่อได้ยินสัททารมณ์ ถ้าไม่มีโสตปสาททำหน้าที่เป็นโสตวัตถุแล้ว สวนกิจ คือจิตที่ทำหน้าที่ได้ยินจะเกิดขึ้นไม่ได้และจิตที่ทำหน้าที่ได้ยินนี้ ในวิถีจิตหนึ่ง ๆ สวนกิจจะมีได้เพียงขณะจิตเดียว คือ ขณะที่โสตวิญญาณเกิดขึ้นในโสตทวารวิถี

๖. ฆายนกิจ ทำหน้าที่รู้กลิ่น คือ จิตที่ ทำหน้าที่รู้กลิ่นคันธารมณ์ จิตนี้ชื่อว่าฆานวิญญาณ เพราะอาศัยฆานวัตถุรู้กลิ่นคันธารมณ์ถ้าไม่มีฆานปสาททำหน้าที่เป็นฆานวัตถุแล้วฆายนกิจ คือจิตที่ทำหน้าที่รู้กลิ่นก็มีขึ้นไม่ได้ และกิจที่ทำหน้าที่รู้กลิ่นนี้ในวิถีจิตหนึ่ง ๆ ฆายนกิจ จะมีได้เพียงขณะจิตเดียว คือขณะที่ฆานวิญญาณเกิดขึ้นในฆานทวารวิถี

๗. สายนกิจ ทำหน้าที่รู้รส คือ จิตที่ ทำหน้าที่รู้รสารมณ์ จิตนี้เรียกว่าชิวหาวิญญาณ เพราะอาศัยชิวหาวัตถุรู้รสารมณ์ ถ้าไม่มีชิวหาปสาททำหน้าที่เป็นชิวหาวัตถุแล้ว สายนกิจจิตที่ทำหน้าที่รู้รสารมณ์ก็จะมีขึ้นไม่ได้ และจิตที่ทำหน้าที่รู้รสนี้ ในวิถีจิตหนึ่ง ๆ สายนกิจจะมีได้เพียงขณะจิตเดียว คือ ชิวหาวิญญาณ ที่เกิดในชิวหาทวารวิถี

๘. ผุสนกิจ ทำหน้าที่รู้สัมผัสกาย คือ จิตที่ ทำหน้าที่รู้การกระทบโผฏฐัพพารมณ์ จิตนี้ชื่อว่ากายวิญญาณ เพราะอาศัยกายวัตถุเพื่อทำกิจรู้ การกระทบถูกต้องสัมผัสโผฏฐัพพารมณ์ถ้าไม่มีกายปสาทเพื่อทำหน้าที่เป็นกายวัตถุแล้วผุสนกิจ จิตที่ทำหน้าที่รู้ การกระทบโผฏฐัพพารมณ์ก็จะมีขึ้นไม่ได้ และจิตที่ทำหน้าที่ผุสนกิจนี้ ในวิถีจิตหนึ่งๆ ผุสนกิจจะมีได้เพียงขณะจิตเดียว คือขณะกายวิญญาณเกิดในกายทวารวิถีเท่านั้น

๙. สัมปฏิจฉนกิจ ทำหน้าที่รับปัญจารมณ์ คือ จิตที่ทำหน้าที่รับปัญจารมณ์ต่อจากทวิปัญจวิญญาณ ในปัญจทวารวิถีหนึ่ง ๆ สัมปฏิจฉนกิจจะเกิดขึ้นเพียงขณะจิตเดียวเท่านั้น

๑๐. สันตีรณกิจ ทำหน้าที่ไต่สวนปัญจารมณ์ คือ จิตที่ทำหน้าที่ไต่สวนปัญจารมณ์ต่อจากสัมปฏิจฉนกิจในปัญจทวารวิถีจิตหนึ่ง ๆ สันตีรณกิจจะเกิดขึ้นขณะเดียวเท่านั้น

๑๑. โวฏฐัพพนกิจ ทำหน้าที่ตัดสินปัญจารมณ์ โวฏฐัพพนกิจ คือ จิตที่ทำหน้าที่ตัดสินปัญจารมณ์ โดยความเป็น กุศล, อกุศล เป็นต้น จิตนี้ ชื่อว่า มโนทวาราวัชชนจิต ทำหน้าที่โวฏฐัพพนกิจ ทางปัญจทวารวิถีในวิถีจิตที่สมบูรณ์ วิถีจิตหนึ่ง ๆ ย่อมเกิดได้ขณะจิตเดียว ในวิถีจิตที่ไม่สมบูรณ์ คือ ในโวฏฐัพพนวาระ อาจเกิดได้ ๒-๓ ขณะ

๑๒. ชวนกิจ ทำหน้าที่เสพอารมณ์ คือ จิตที่ทำหน้าที่เสพอารมณ์ ๖ ด้วย กุศลจิต, อกุศลจิต, สเหตุกกิริยาจิต, หสิตุปปาทจิต และโลกุตตรวิบากจิต ในวิถีจิตหนึ่ง ๆ ที่เป็นกามวิถีแล้ว ส่วนมากเกิดติดต่อกัน ๗ ขณะ และในอัปปนาวิถี อาจเกิดขึ้นได้มากมายจนประมาณมิได้ก็มี

๑๓. ตทาลัมพนกิจ ทำหน้าที่รับอารมณ์ที่เหลือจากชวนะ  คือ จิตที่ ทำหน้าที่รับอารมณ์ที่เหลือจากชวนจิตเสพแล้ว ในกามอารมณ์ทั้ง ๖ ที่มีกำลังแรง ในวิถีจิตทีรับอติมหันตารมณ์หรือวิภูตารมณ์ ซึ่งมีจิตที่ชื่อว่า ตทาลัมพนจิต แล้วจะทำตทาลัมพนกิจ และเป็น ๒ ขณะจิตสุดท้ายในวิถีจิตที่เป็นตทาลัมพนวาระ

๑๔. จุติกิจ ทำหน้าที่ดับสิ้นไปจากภพ คือ จิตที่ ทำหน้าที่สิ้นจากภพปัจจุบัน เป็นจิตดวงสุดท้ายที่จะปรากฏในภพชาตินั้น และจะปรากฏได้เพียงขณะจิตเดียว ในภพชาติหนึ่ง คล้ายคลึงกับปฏิสนธิกิจ จิตที่ทำหน้าที่จุตินี้ เป็นจิตประเภทเดียวกับปฏิสนธิจิต และภวังคจิตนั่นเอง


แสดงการจำแนกกิจ ๑๔ โดยจิต

๑. ปฏิสนธิกิจ จิตที่ทำหน้าที่สืบต่อภพใหม่ มี ๑๙ ดวง คือ :-

  • อุเบกขาสันติรณจิต ๒ ดวง
  • มหาวิบากจิต ๘  ดวง
  • มหัคคตวิบากจิต ๙ ดวง
๒. ภวังคกิจ จิตที่ทำหน้าที่รักษาองค์แห่งภพ มี ๑๙ ดวง คือ :-

  • อุเบกขาสันตีรณจิต ๒ ดวง
  • มหาวิบากจิต ๘ ดวง
  • มหัคคตวิบากจิต ๙ ดวง

๓. อาวัชชนกิจ จิตที่ทำหน้าที่พิจารณาอารมณ์ใหม่ มี ๒ ดวง คือ : -

  • ปัญจทวาราวัชชนจิต ๑ ดวง
  • มโนทวาราวัชชนจิต ๑ ดวง

๔. ทัสสนกิจ จิตที่ทำหน้าที่เห็น มี ๒ ดวง คือ :-

  • จักขุวิญญาณ ๒ ดวง

๕. สวนกิจ จิตที่ทำหน้าที่ได้ยิน มี ๒ ดวง คือ :-

  • โสตวิญญาณ ๒ ดวง

๖. ฆายนกิจ จิตที่ทำหน้าที่รู้กลิ่น มี ๒ ดวง คือ :-

  • ฆานวิญญาณ ๒ ดวง

๗. สายนกิจ จิตที่ทำหน้าที่รู้รส มี ๒ ดวง คือ :-

  • ชิวหาวิญญาณ ๒ ดวง

๘. ผุสนกิจ จิตที่ทำหน้าที่ถูกต้องสัมผัส มี ๒ ดวง คือ :-

  • กายวิญญาณ ๒ ดวง

๙. สัมปฏิจฉนกิจ จิตที่ทำหน้าที่รับปัญจารมณ์ มี ๒ ดวง คือ :-

  • สัมปฏิจฉนจิต ๒ ดวง

๑๐. สันตีรณกิจ จิตที่ทำหน้าที่ไต่สวนปัญจารมณ์ มี ๓ ดวง คือ :-

  • อุเบกขาสันตีรณจิต ๒ ดวง
  • โสมนัสสันตีรณจิต ๑ ดวง

๑๑. โวฏฐัพพนกิจ จิตที่ทำหน้าที่ตัดสินปัญจารมณ์ มี ๑ ดวง คือ :-

  • มโนทวาราวัชชนจิต ๑ ดวง

๑๒. ชวนกิจ จิตที่ทำหน้าที่เสพอารมณ์ มี ๕๕ ดวง คือ :-

  • อกุศลจิต ๑๒ ดวง
  • หสิตุปปาทจิต ๑ ดวง
  • มหากุศลจิต ๘ ดวง
  • มหากิริยาจิต ๘ ดวง
  • มหัคคตกุศลจิต ๙ ดวง
  • มหัคคตกิริยาจิต ๙ ดวง
  • โลกุตตรจิต ๘ ดวง

๑๓. ตทาลัมพนกิจ จิตที่ทำหน้าที่รับอารมณ์ที่เหลือจากชวนะ มี ๑๑ ดวง คือ :-

  • สันตีรณจิต ๓ ดวง
  • มหาวิบากจิต ๘ ดวง

๑๔. จุติกิจ จิตที่ทำหน้าที่ดับสิ้นไปจากภพ มี ๑๙ ดวง คือ :-

  • อุเบกขาสันตีรณจิต ๒ ดวง
  • มหาวิบากจิต ๘ ดวง
  • มหัคคตวิบากจิต ๙ ดวง


แสดงการจำแนกจิตโดยประเภทแห่งกิจ

๑. จิตที่ทำกิจได้ ๕ อย่าง มี ๒ ดวง ได้แก่ อุเบกขาสันตีรณจิต ๒ ทำกิจ ๕ อย่าง คือ :-

  • ๑. ปฏิสนธิกิจ
  • ๒. ภวังคกิจ
  • ๓. จุติกิจ
  • ๔. สันตีรณกิจ
  • ๕. ตทาลัมพนกิจ

๒. จิตที่ทำกิจได้ ๔ อย่าง มี ๘ ดวง ได้แก่ มหาวิปากจิต ๘ ทำกิจ ๔ อย่าง คือ :-

  • ๑. ปฏิสนธิกิจ
  • ๒. ภวังคกิจ
  • ๓. จุติกิจ
  • ๔. ตทาลัมพนกิจ

๓. จิตที่ทำกิจได้ ๓ อย่าง มี ๙ ดวง ได้แก่ มหัคคตวิปากจิต ๙ ทำกิจ ๓ อย่าง คือ :-

  • ๑. ปฏิสนธิกิจ
  • ๒. ภวังคกิจ
  • ๓. จุติกิจ

๔. จิตที่ทำกิจได้ ๒ อย่าง มี ๒ ดวง ได้แก่ โสมนัสสันตีรณจิต ๑ ทำกิจ ๒ อย่าง คือ :-

  • ๑. สันตีรณกิจ
  • ๒. ตทาลัมพนกิจ

มโนทวาราวัชชนจิต ๑ ทำกิจ ๒ อย่าง คือ :-

  • ๑. โวฏฐัพพนกิจ
  • ๒. อาวัชชนกิจ (มโนทวารวิถี)

๕. จิตที่ทำกิจได้ ๑ อย่า มี ๖๘ ดวง (หรือ ๑๐๐ ดวง) ได้แก่

ปัญจทวาราวัชชนจิต ๑ ทำกิจ อาวัชชนกิจ (ปัญจทวารวิถี)
จักขุวิญญาณ ๒ ทำกิจ ทัสสนกิจ
โสตวิญญาณ ๒ ทำกิจ สวนกิจ
ฆานวิญญาณ ๒ ทำกิจ ฆายนกิจ
ชิวหาวิญญาณ ๒ ทำกิจ สายนกิจ
กายวิญญาณ ๒ ทำกิจ ผุสนกิจ
สัมปฏิจฉนจิต ๒ ทำกิจ สัมปฏิจฉนกิจ
อกุศลจิต ๑๒ ทำกิจ ชวนกิจ
หสิตุปปาทจิต ๑ ทำกิจ ชวนกิจ
มหากุศลจิต ๘ ทำกิจ ชวนกิจ
มหากิริยาจิต ๘ ทำกิจ ชวนกิจ
มหัคคตกุศลจิต ๙ ทำกิจ ชวนกิจ
มหัคคตกิริยาจิต ๙ ทำกิจ ชวนกิจ
โลกุตตรจิต ๘ หรือ ๔๐ ทำกิจ ชวนกิจ

แสดงการจำแนกเจตสิก ๕๒ โดยกิจ ๑๔ มี ๗ นัย

๑. เจตสิกที่ทำหน้าที่ ๑ กิจ มี ๑๗ ดวง :-

  • อกุศลเจตสิก ๑๔ ดวง ประกอบกับอกุศลจิต ๑๒ ดวงเท่านั้นและอกุศลจิต ๑๒ ดวงนั้น ทำหน้าที่เสพอารมณ์ เป็นชวนกิจอย่างเดียว
  • วิรตีเจตสิก ຕ ดวง ประกอบกับมหากุศลจิต ๘ และโลกุตตรจิต ๘ หรือ ๔๐ ทำหน้าที่เสพอารมณ์ เป็นชวนกิจ 

๒. เจตสิกที่ทำหน้าที่ ๔ กิจ มี ๒ ดวง คือ :

  • อัปปมัญญาเจตสิก ๒ ดวง ทำหน้าที่ ๔ อย่าง คือ ปฏิสนธิกิจ,ภวังคกิจ, จุติกิจ,ชวนกิจ

อธิบาย อัปปมัญญาเจตสิก ๒ ดวงนี้ ถ้าประกอบกับมหากุศลจิต ๘, มหากิริยาจิต ๔, รูปาวจรกุศลจิต ๔, รูปาวจรกิริยาจิต ๔ ทำหน้าที่ชวนกิจ แต่ถ้าประกอบกับรูปาวจรวิบาก ๔ ทำหน้าที่ ๓ อย่าง คือ ปฏิสนธิกิจ, ภวังคกิจ, จุติกิจ รวมอัปปมัญญาเจตสิก ๒ ทำกิจได้ ๔ กิจ ดังกล่าวข้างต้น

๓. เจตสิกที่ทำหน้าที่ ๕ กิจ มี ๒๑ ดวง คือ :-

  • ฉันทเจตสิก ๑ ดวง
  • โสภณสาธารณเจตสิก ๑๙ ดวง
  • ปัญญาเจตสิก ๑ ดวง

เจตสิกทั้ง ๒๑ ดวงนี้ทำหน้าที่ ๑. ปฏิสนธิกิจ ๒. ภวังคกิจ ๓. จุติกิจ ๔. ชวนกิจ ๕. ตทาลัมพนกิจ

อธิบาย ฉันทเจตสิก ๑, โสภณสาธารณเจตสิก ๑๙, ปัญญาเจตสิก ๑ รวมเจตสิก ๒๑ ดวงนี้ ไม่ประกอบในอเหตุกจิต ๑๘ จึงเว้นกิจที่อเหตุกจิตทำหน้าที่ ๙ กิจ คือ อาวัชชนกิจ, ทัสสนกิจ, สวนกิจ, ฆายนกิจ, สายนกิจ, ผุสนกิจ, สัมปฏิจฉนกิจ, สันตีรณกิจ และโวฏฐัพพนกิจ ซึ่งกิจทั้ง ๔ นี้ เป็นหน้าที่ของอเหตุกจิตโดยเฉพาะ ฉะนั้น จึงคงทำหน้าที่ได้เพียง ๕ กิจ ดังกล่าวแล้วนั่นเอง

๔. เจตสิกที่ทำหน้าที่ ๖ กิจ มี ๑ ดวง คือ :-

  • ปีติเจตสิก ทำหน้าที่ ๑. ปฏิสนธิกิจ ๒. ภวังคกิจ ๓. จุติกิจ ๔. สันตีรณกิจ ๕. ชวนกิจ ๖. ตทาลัมพนกิจ

อธิบาย ปีติเจตสิกนี้
๑. เมื่อประกอบกับโสมนัสสหคตจิต ที่เป็นอกุศล, กุศล, กิริยา และผลจิต ย่อมทำหน้าที่ ชวนกิจ
๒. เมื่อประกอบกับโสมนัสสันตีรณจิต ทำหน้าที่สันตีรณกิจ และ ตทาลัมพนกิจ
๓. เมื่อประกอบกับโสมนัสสหคตจิต ที่เป็นรูปาวจรวิบาก ๓ ทำหน้าที่ปฏิสนธิกิจ, ภวังคกิจ และ จุติกิจ
๔. เมื่อประกอบกับโสมนัสสหคตจิต ที่เป็น มหาวิบาก ๔ ทำหน้าที่ปฏิสนธิกิจ, ภวังคกิจ, จุติกิจ และตทาลัมพนกิจ

๕. เจตสิกที่ทำหน้าที่ ๗ กิจ มี ๑ ดวง คือ

  • วิริยเจตสิก ทำหน้าที่ ๗ กิจ คือ ๑. ปฏิสนธิกิจ ๒. ภวังคกิจ ๓. จุติกิจ ๔. อาวัชชนกิจ ๕. โวฏฐพพนกิจ ๖. ชวนกิจ ๗. ตทาลัมพนกิจ

อธิบาย วิริยเจตสิกนี้
๑. ประกอบกับอกุศลจิต, กุศลจิต, กิริยาจิตและผลจิต ทำหน้าที่ชวนกิจ
๒. เมื่อประกอบกับมโนทวาราวัชชนจิต ทำหน้าที่อาวัชชนกิจ และ โวฏฐัพพนกิจ
๓. เมื่อประกอบกับมหาวิบากจิต ทำหน้าที่ปฏิสนธิกิจ, ภวังคกิจ, จุติกิจ และ ตทาลัมพนกิจ
๔. เมื่อประกอบกับมหัคคตวิบากจิต ทำหน้าที่ปฏิสนธิกิจ, ภวังคกิจ และ จุติกิจ

๖. เจตสิกที่ทำหน้าที่ ๙ กิจ มี ๓ ดวง คือ :-

วิตกเจตสิก, วิจารเจตสิก, อธิโมกข์เจตสิก ทำหน้าที่ ๙ กิจ ได้แก่

  • ๑. ปฏิสนธิกิจ
  • ๒.ภวังคกิจ 
  • ๓.จุติกิจ 
  • ๔. อาวัชชนกิจ 
  • ๕. สัมปฏิจฉนกิจ
  • ๖. สันตีรณกิจ
  • ๗. โวฏฐพพนกิจ
  • ๘. ชวนกิจ
  • ๙.ตทาลัมพนกิจ

อธิบาย วิตก วิจาร และอธิโมกข์เจตสิก ๓ ดวงนี้
๑. เมื่อประกอบกับอกุศลจิต, กุศลจิต, กิริยาจิต และผลจิต ก็ทำหน้าที่ ชวนกิจ
๒. เมื่อประกอบกับมโนทวาราวัชชนจิต ทำหน้าที่อาวัชชนกิจ และ โวฏฐพพนกิจ
๓. เมื่อประกอบกับสัมปฏิจฉนจิต ทำหน้าที่ สัมปฏิจฉนกิจ
๔. เมื่อประกอบกับสันตีรณจิต ทำหน้าที่ สันตีรณกิจ, ตทาลัมพนกิจ, ปฏิสนธิกิจ, ภวังคกิจ และ จุติกิจ
๕. เมื่อประกอบกับมหาวิบากจิต ทำหน้าที่ ปฏิสนธิกิจ, ภวังคกิจ, จุติกิจ และ ตทาลัมพนกิจ
๖. เมื่อประกอบกับมหัคคตวิบากจิต ทำหน้าที่ ปฏิสนธิกิจ, ภวังคกิจ และ จุติกิจ


๗. เจตสิกที่ทำหน้าที่ ๑๔ กิจ มีจำนวน ๗ ดวง คือ :-

สัพพจิตตสาธารณเจตสิก ๒ ทำหน้าที่ ๑๔ กิจ คือ :-

  • ๑. ปฏิสนธิกิจ
  • ๒. ภวังคกิจ
  • ๓. จุติกิจ
  • ๔. อาวัชชนกิจ
  • ๕.ทัสสนกิจ
  • ๖. สวนกิจ
  • ๗. ฆายนกิจ
  • ๘. สายนกิจ
  • ๙. ผุสนกิจ
  • ๑๐. สัมปฏิจฉนกิจ
  • ๑๑. สันตีรณกิจ
  • ๑๒. โวฏฐพพนกิจ
  • ๑๓. ชวนกิจ
  • ๑๔. ตทาลัมพนกิจ

อธิบาย สัพพจิตตสาธารณเจตสิก ๒ ดวงนี้ ประกอบกับจิตได้ทั้งหมด ฉะนั้นจึงทำหน้าที่ ๑๔ อย่างได้ทั้งหมด การจำแนกกิจโดยจิต และจำแนกจิตโดยกิจได้แสดงมาแล้ว ต่อไปนี้จะได้แสดงฐาน คือ สถานที่ทำการงานของจิตและเจตสิก ซึ่งมีอยู่โดยสังเขป ๑๐ ฐาน

แสดงฐาน ๑๐ อย่าง

๑. ปฏิสนธิฐาน คือ สถานที่ ที่จิตทำงานสืบต่อภพใหม่
๒. ภวังคฐาน คือ สถานที่ ที่จิตทำงานรักษาองค์แห่งภพ
๓. อาวัชชนฐาน คือ สถานที่ ที่จิตทำงานพิจารณาอารมณ์ใหม่
๔. ปัญจวิญญาณฐาน คือ สถานที่ ที่จิตทำงาน เห็น, ได้ยิน, ได้กลิ่น, รู้รส, รู้ถูกต้องสัมผัส
๕. สัมปฏิจฉนฐาน คือ สถานที่ ที่จิตทำงานรับปัญจารมณ์
๖. สันตีรณฐาน คือ สถานที่ ที่จิตทำงานไต่สวนปัญจารมณ์
๗. โวฏฐัพพนฐาน คือ สถานที่ ที่จิตทำงานตัดสินปัญจารมณ์
๘. ชวนฐาน คือ สถานที่ ที่จิตทำงานเสพอารมณ์
๙. ตทาลัมพนฐาน คือ สถานที่ ที่ทำงานรับอารมณ์ที่เหลือจากชวนะ
๑๐. จุติฐาน คือ สถานที่ ที่จิตทำงานสิ้นจากภพ


แสดงการจำแนกฐาน โดยจิต

๑. ปฏิสนธิฐานเป็นสถานที่ทำงานสืบต่อภพใหม่ของจิต ๑๙ ดวง คือ: -

  • อุเบกขาสันตีรณจิต ๒
  • มหาวิบากจิต ๘
  • มหัคคตวิบากจิต ๙

๒. ภวังคฐาน เป็นสถานที่ทำงานรักษาองค์แห่งภพของจิต ๑๙ ดวง คือ : -

  • อุเบกขาสันตีรณจิต ๒
  • มหาวิบากจิต ๘
  • มหัคคตวิบากจิต ๙

๓. อาวัชชนฐาน เป็นสถานที่ทำงานพิจารณาอารมณ์ของจิต ๒ ดวง คือ :-

  • ปัญจทวาราวัชชนจิต ๑
  • มโนทวาราวัชชนจิต ๑

๔. ปัญจวิญญาณฐาน เป็นสถานที่ทำงานในการ เห็น, ได้ยิน, ได้กลิ่น, รู้รส, รู้ถูกต้องสัมผัส ของจิต ๑๐ ดวง คือ :-

  • ทวิปัญจวิญญาณ ๑๐

๕. สัมปฏิจฉนฐาน เป็นสถานที่รับปัญจารมณ์ของจิต ๒ ดวง คือ :-

  • สัมปฏิจฉนจิต ๒

๖. สันตีรณฐาน เป็นสถานที่ไต่สวนปัญจารมณ์ของจิต ๓ ดวง คือ :-

  • สันตีรณจิต 

๗. โวฏฐพพนฐาน เป็นสถานที่ตัดสินปัญจารมณ์ของจิต คือ :-

  • มโนทวาราวัชชนจิต ๑

๘. ชวนฐาน เป็นสถานที่เสพอารมณ์ของจิต ๕๕ ดวง คือ :-

  • อกุศลจิต ๑๒
  • หสิตุปปาทจิต ๑
  • มหากุศลจิต ๘
  • มหากิริยาจิต ๘
  • มหัคคตกุศลจิต ๙
  • มหัคคตกิริยาจิต ๙
  • โลกุตตรจิต ๘

๙. ตทาลัมพันฐาน เป็นสถานที่ทำงานรับอารมณ์ที่เหลือจากชวนะของจิต ๑๑ ดวง คือ :-

  • สันตีรณจิต ๓
  • มหาวิบากจิต ๘
๑๐. จุติฐาน เป็นสถานที่ทำงานสิ้นไปจากภพ ของจิต ๑๙ ดวง คือ :-

  • อุเบกขาส้นตีรณจิต ๒
  • มหาวิบากจิต ๘
  • มหัคคตวิบากจิต ๙

แสดงการจำแนกจิตโดยกิจและฐาน

คาถาสังคหะ

อฏฺฐสฏฐิ ตถา เทฺว จ   นวาฎฺฐ เทฺว ยถากฺกมํ
เอกทฺวิติจตุปญฺจ—   กิจฺจฐานานิ นิทฺทิเส ฯ

แปลความว่า แสดงจำนวนจิตโดยหน้าที่ และฐาน ตามลำดับ ดังนี้คือ

จิตมีหน้าที่ ๑ และฐาน ๑ มีจำนวน ๖๘ ดวง
จิตมีหน้าที่ ๒ และฐาน ๒ มีจำนวน ๒ ดวง
จิตมีหน้าที่ ๓ และฐาน ๓ มีจำนวน ๙ ดวง
จิตมีหน้าที่ ๔ และฐาน ๔ มีจำนวน ๘ ดวง
จิตมีหน้าที่ ๕ 
และฐาน ๕ มีจำนวน ๒ ดวง

อธิบาย

จิตที่ทำหน้าที่ ๑ อย่าง ที่ฐาน ๑ ฐาน มีจำนวน ๖๘ ดวง คือ :-

จักขุวิญญาณ ๒ ทำหน้าที่ ทัสสนกิจ ที่ ปัญจวิญญาณฐาน
โสตวิญญาณ ๒ ทำหน้าที่ สวนกิจ ที่ ปัญจวิญญาณฐาน
ฆานวิญญาณ ๒ ทำหน้าที่ ฆายนกิจ ที่ ปัญจวิญญาณฐาน
ชิวหาวิญญาณ ๒ ทำหน้าที่ สายนกิจ ที่ ปัญจวิญญาณฐาน
กายวิญญาณ ๒ ทำหน้าที่ ผุสนกิจ ที่ ปัญจวิญญาณฐาน
ปัญจทวาราวัชชนจิต ๑ ทำหน้าที่ อาวัชชนกิจ ที่ อาวัชชนฐาน
สัมปฏิจฉนจิต ๒  ทำหน้าที่ สัมปฏิจฉนกิจ ที่ สัมปฏิจฉนฐาน
ชวนจิต ๕๕ ทำหน้าที่ชวนกิจ ที่ ชวนฐาน

จิตที่ทำหน้าที่ ๒ อย่าง ที่ฐาน ๒ ฐาน มีจำนวน ๒ ดวง คือ :-

โสมนัสสันตีรณจิต ๑ 
- ทำหน้าที่ สันตีรณกิจ ที่ สันตีรณฐาน
- ทำหน้าที่ตทาลัมพนกิจ ที่ ตทาลัมพนฐาน
มโนทวาราวัชชนจิต ๑
- ทำหน้าที่อาวัชชนกิจ ที่ อาวัชชนฐาน
- ทำหน้าที่โวฏฐัพพนกิจ ที่ โวฏฐัพพนฐาน

จิตที่ทำหน้าที่ ๓ อย่าง ที่ฐาน ๓ ฐาน มีจำนวน ๙ ดวง คือ :-

มหัคคตวิบากจิต ๙
- ทำหน้าที่ ปฏิสนธิกิจ ที่ ปฏิสนธิฐาน
- ทำหน้าที่ ภวังคกิจ ที่ ภวังคฐาน
- ทำหน้าที่ จุติกิจ ที่ จุติฐาน

จิตที่ทำหน้าที่ ๔ อย่าง ที่ฐาน ๔ ฐาน มีจำนวน ๘ ดวง คือ :-
มหาวิบากจิต ๘
- ทำหน้าที่ ปฏิสนธิกิจ ที่ ปฏิสนธิฐาน
- ทำหน้าที่ ภวังคกิจ ที่ ภวังคฐาน
- ทำหน้าที่ จุติกิจ ที่ จุติฐาน
- ทำหน้าที่ ตทาลัมพนกิจ ที่ ตทาลัมพนฐาน

จิตที่ทำหน้าที่ ๕ อย่าง ที่ฐาน ๕ ฐาน มีจำนวน ๒ ดวง คือ :-
อุเบกขาสันตีรณจิต ๒
- ทำหน้าที่ ปฏิสนธิกิจ ที่ ปฏิสนธิฐาน
- ทำหน้าที่ ภวังคกิจ ที่ ภวังคฐาน
- ทำหน้าที่ จุติกิจ ที่ จุติฐาน
- ทำหน้าที่ สันตีรณกิจ ที่ สันตีรณฐาน
- ทำหน้าที่ ตทาลัมพนกิจ ที่ ตทาลัมพนฐาน

เหตุสังคหะ

แสดงการรวบรวมจิตและเจตสิก โดยประเภทแห่งเหตุ ชื่อว่า “เหตุสังคหะ”

คาถาสังคหะ

โลโภ โทโส จ โมโห จ    เหตู อกุสลา ตโย
อโลภาโทสาโมหา จ    กุสลาพฺยากตา ตถา ฯ

แปลความว่า โลภะ, โทสะ โมหะเป็นอกุศลเหตุ อโลภะ, อโทสะ อโมหะเป็นกุศลเหตุ และอพยากตเหตุ

อธิบาย

“เหตุ” คือ ธรรมชาติที่ให้ผลธรรมเกิดขึ้น และให้ผลธรรมนั้นมีสภาพมั่นคงอยู่ในอารมณ์ กับทั้งยังผลธรรมนั้นให้เจริญยิ่งขึ้น ดังวจนัตถะว่า

หิโนติ วตฺตติ ผลํ    เอเตหิ อิติ เหตุโว 
ลทฺธเหตูหิ เต ถิรา    รูฬฺหมูลาว ปาทปา ฯ

แปลความว่า ผลย่อมเป็นไปด้วยธรรมชาติเหล่านั้น ฉะนั้นธรรมชาติเหล่านั้น ชื่อว่า “เหตุ” (โอชา) ที่ตนได้แล้วนั้น เหมือนกับต้นไม้ทั้งหลายที่มีรากเจริญมั่นคงด้วยเหตุ
หมายความว่า ธรรมทั้งหลายได้รับอุปการะจากเหตุ ย่อมมีสภาพมั่นคงในอารมณ์ และเจริญยิ่งขึ้น ประดุจต้นที่ตั้งมั่น และงอกงามเผยแผ่ไปฉะนั้น

ธรรมที่เป็นเหตุ ทำให้ผลธรรมปรากฏขึ้น มี ๖ ประการ คือ :-

โลภเหตุ องค์ธรรมได้แก่ โลภเจตสิก
โทสเหตุ องค์ธรรมได้แก่ โทสเจตสิก
โมหเหตุ องค์ธรรมได้แก่ โมหเจตสิก

อโลภเหตุ องค์ธรรมได้แก่ อโลภเจตสิก
อโทสเหตุ องค์ธรรมได้แก่ อโทสเจตสิก
อโมหเหตุ องค์ธรรมได้แก่ ปัญญาเจตสิก

ผลธรรมที่เกิดจากเหตุ ได้แก่ กุศลจิต, อกุศลจิต, อพยากตจิต หรือกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ที่เนื่องจากกุศลเหตุบ้าง อกุศลเหตุบ้าง อพยากตเหตุบ้าง หรือขันธ์ ๕ ที่ปรากฏขึ้นทั้งในปฏิสนธิ และปวัตติกาลที่ชื่อว่า ผลที่ได้เกิดจากเหตุ

อารมณ์ที่รองรับผลธรรม ให้ตั้งมั่น และให้เจริญขึ้น ได้แก่ อารมณ์ ๖ คือ รูป, เสียง, กลิ่น, รส, สัมผัส สภาพธรรมที่ปรากฏได้ทางใจอันเกี่ยวด้วยสิ่งที่มีชีวิต และไม่มีชีวิตต่าง ๆ

เหตุทั้ง ๖ ประการ คือ โลภะ โทสะ โมหะ และอโลภะ อโทสะ อโมหะนี้ เมื่อปรากฏขึ้นแล้ว ย่อมทำให้ผลธรรมได้รับอุปการะจากเหตุ ๒ ประการ คือ

เหตุทำให้ผลธรรมตั้งมั่นได้ในอารมณ์ คือ เมื่อตาเห็นรูป หูได้ยินเสียงเป็นต้น ตลอดจนคิดนึกเรื่องต่าง ๆ นั้นแล้ว อกุศลจิต คือ โลภมูลจิต, โทสมูลจิต และโมหมูลจิต หรือกุศลจิต มีความไม่โลภ ไม่โกรธ และมีปัญญา เหล่านี้ ย่อมปรากฏขึ้น และยึดถืออารมณ์ต่าง ๆ เหล่านั้นไว้อย่างมั่นคง นี้คืออกุศลจิต หรือ กุศลจิต เป็นต้น ที่เป็นผลตั้งมั่นอยู่ได้ในอารมณ์ อันเกิดจากเหตุต่าง ๆ เหล่านั้น

เหตุทำให้ผลธรรมเจริญขึ้นได้ คือ เมื่อกุศลจิต อกุศลจิต เป็นต้น ยึดอารมณ์ต่าง ๆ นั้นไว้แล้ว จะค่อย ๆ มีกำลังมากขึ้น ๆ จนให้สำเร็จเป็นกายกรรม, วจีกรรม และมโนกรรม หมายความว่า โลภะ, โทสะ, โมหะ ก็ดี หรือ อโลภะ, อโทสะ อโมหะ ก็ดี เหล่านี้ ขณะเมื่อแรกเกิดขึ้นนั้น ยังมีกำลังอ่อนอยู่ ยังไม่สามารถทำให้การงานลุล่วงไปถึงทุจริตกรรม หรือสุจริตกรรมได้ ครั้นเมื่อได้ตั้งมั่นและมีกำลังมากขึ้นแล้ว ย่อมสามารถทำให้การกระทำทุจริต หรือสุจริตก้าวสู่กรรมบถ ทั้งกุศลกรรมบถ หรืออกุศลกรรมบถเกิดขึ้นได้ นี้คือผลธรรมเจริญขึ้นได้โดยอาศัยเหตุ ๖ ประการเหล่านั้น


⛯ 
แสดงการจำแนกจิตโดยเหตุ

คาถาสังคหะ

อเหตุกาฎฺฐารเสก- เหตุกา เทฺว ทวาวีสติ
ทฺวิเหตุกา มตา สตฺต - จตุตาลีส ติเหตุกา ฯ

แปลความว่า อเหตุกจิต มี ๑๘ เอกเหตุกจิต มี ๒ ทวิเหตุกจิต มี ๒๒ ติเหตุกจิต มี ๔๗

อธิบาย ในจำนวนจิต ๘๙ หรือ ๑๒๑ ดวงนั้น เมื่อกล่าวถึงจิตที่ประกอบด้วยเหตุ แบ่งออกได้เป็น ๒ ประเภท คือ :-

ก. อเหตุกจิต คือ จิตที่เกิดขึ้นโดยมิได้ประกอบด้วยเหตุใด ๆ ในเหตุทั้ง ๖ ดังกล่าวแล้วนั้นเลย มีจำนวน ๑๘ ดวง
ข. สเหตุกจิต คือ จิตที่เกิดขึ้นโดยมีเหตุ ๖ เหตุใดเหตุหนึ่ง หรือมีหลายเหตุประกอบด้วย มีจำนวน ๗๑ ดวง

ในคาถาสังคหะ ได้แสดงการจำแนกจิตโดยเหตุไว้ ๔ นัย คือ :-

๑. อเหตุกจิต เป็นจิตที่ไม่มีเหตุ ๖ ประกอบเลย แม้สักเหตุเดียว อเหตุกจิต มีจำนวน ๑๘ ดวง ได้แก่

- ปัญจทวาราวัชชนจิต ๑ ดวง
- ทวิปัญจวิญญาณ ๑๐ ดวง
- สัมปฏิจฉนจิต ๒ ดวง
- สันตีรณจิต ๓ ดวง
- มโนทวาราวัชชนจิต ๑ ดวง
- หสิตุปปาทจิต ๑ ดวง

รวมอเหตุกจิต ๑๘ ดวง

๒.เอกเหตุกจิต เป็นจิตที่ประกอบด้วยเหตุเพียงเหตุเดียว มีจำนวน ๒ ดวง ได้แก่
 โมหมูลจิต ๒ ดวง ซึ่งมี โมหเหตุประกอบเหตุเดียว

๓.ทวิเหตุกจิต เป็นจิตที่มีเหตุประกอบ ๒ เหตุ มีจำนวน ๒๒ ดวง
โลภมูลจิต ๘ ดวง มีเหตุประกอบ ๒ เหตุ คือ โลภเหตุ โมหเหตุ
โทสมูลจิติ ๒ ดวง มีเหตุประกอบ ๒ เหตุ โทสเหตุ โมหเหตุ
มหากุศลญาณวิปปยุตจิต ๔ ดวง มีเหตุประกอบ ๒ เหตุ อโลภเหตุ อโทสเหตุ
มหาวิบากญาณวิปปยุตจิต ๔ ดวง มีเหตุประกอบ ๒ เหตุ อโลภเหตุ อโทสเหตุ
มหากิริยาญาณวิปปยุตจิต ๔ ดวง มีเหตุประกอบ ๒ เหตุ อโลภเหตุ อโทสเหตุ

๔. ติเหตุกจิต 
เป็นจิตที่มีเหตุประกอบ ๓ เหตุ มีจำนวน ๔๗ หรือ ๗๙ ดวง ได้แก่

มหากุศลญาณสัมปยุติจิต ๔ ดวง มีเหตุประกอบ ๓ เหตุ คือ อโลภเหตุ อโทสเหตุ อโมหเหตุ
มหาวิบากญาณสัมปยุติจิต ๔ ดวง มีเหตุประกอบ ๓ เหตุ คือ อโลภเหตุ อโทสเหตุ อโมหเหตุ
มหากิริยาญาณสัมปยุติจิต ๔ ดวง มีเหตุประกอบ ๓ เหตุ คือ อโลภเหตุ อโทสเหตุ อโมหเหตุ
มหัคคตจิต ๒๗ ดวง มีเหตุประกอบ ๓ เหตุ คือ อโลภเหตุ อโทสเหตุ อโมหเหตุ
โลกุตตรจิต ๘ หรือ ๔๐ ดวง มีเหตุประกอบ ๓ เหตุ คือ อโลภเหตุ อโทสเหตุ อโมหเหตุ

⛯ จําแนกเหตุโดยประเภทแห่งโสภณะและอโสภณะ

อโสภณเหตุ มี ๓ เหตุ ได้แก่ โลภเหตุ, โทสเหตุ, โมหเหตุ ที่ประกอบกับอกุศลจิต ๑๒ ตามสมควร ส่วนอเหตุกจิต ๑๘ ไม่มีเหตุประกอบแม้แต่เหตุเดียว

โสภณเหตุ มี ๓ เหตุ ได้แก่ อโลภเหตุ, อโทสเหตุ, อโมหเหตุ ที่ประกอบกับโสภณจิต ๕๙ หรือ ๙๑ ตามสมควร

เหตุ กับ ธรรม

เหตุ ๖ ประการ คือ โลภะ โทสะ โมหะ, และอโลภะ, อโทสะ อโมหะ อันเป็นนามธรรม ย่อมอุดหนุนให้นามธรรม และรูปธรรม เกิดขึ้นในสันดานของสัตว์ทั้งหลาย นามธรรมและรูปธรรมที่เกิดขึ้นแก่สัตว์ทั้งหลายนั้น เมื่อจำแนกโดยประเภทแห่งธรรมแล้ว มี ๓ ประการ คือ อกุศลธรรม, กุศลธรรม และอพยากตธรรม เมื่อจำแนกเหตุ ๖ โดยประเภทแห่งธรรมดังกล่าวแล้วนี้จึงจำแนกได้ดังนี้ คือ

จำแนกเหตุโดยประเภทแห่งธรรม

อกุศลเหตุ มี ๓ เหตุ ได้แก่ โลภเหตุ, โทสเหตุ, โมหเหตุ ที่ประกอบในอกุศลจิต ๑๒ ตามสมควร
กุศลเหตุ มี ๓ เหตุ ได้แก่ อโลภเหตุ, อโทสเหตุ, อโมหเหตุ ที่ประกอบในกุศลจิต ๒๑ ตามสมควร
อพยากตเหตุ มี ๓ เหตุ ได้แก่ อโลภเหตุ, อโทสเหตุ, อโมหเหตุ ที่ประกอบในสเหตุกวิบากจิต ๒๑ ตามสมควร เรียกว่า “วิบากอพยากตเหตุ” และที่ประกอบในสเหตุกกิริยาจิต ๑๗ ตามสมควร เรียกว่า “กิริยาอพยากตเหตุ”

⛯ จำแนกเหตุโดยประเภทแห่งชาติ

เหตุ ๖ ประการ อันได้แก่ โลภะ, โทสะ, โมหะ, อโลภะ, อโทสะ, อโมหะ ถ้าแยกออกไปตามชาติ คือ การเกิดของจิตแล้ว นับตามชาติมี ๔ ชาติ และ นับตามเหตุ มี ๑๒ เหตุ คือ :-

อกุศลชาติ มี ๓ เหตุ ได้แก่ โลภเหตุ, โทสเหตุ, โมหเหตุ
กุศลชาติ มี ๓ เหตุ อโลภะ, อโทสะ, อโมหะ
วิปากชาติ มี ๓ เหตุ อโลภะ, อโทสะ, อโมหะ
กิริยาชาติ มี ๓ เหตุ อโลภะ, อโทสะ, อโมหะ

จำแนกเหตุโดยประเภทแห่งภูมิของจิต มี ๑๕ เหตุ คือ :-

กามภูมิ มี ๖ เหตุ คือ โลภเหตุ, โทสเหตุ, โมหเหตุ, อโลภเหตุ, อโทสเหตุ, อโมหเหตุ
รูปาวจรภูมิ มี ๓ เหตุ คือ อโลภเหตุ, อโทสเหตุ, อโมหเหตุ
อรูปาวจรภูมิ มี ๓ เหตุ คือ อโลภเหตุ, อโทสเหตุ, อโมหเหตุ
โลกุตตรภูมิ มี ๓ เหตุ คือ อโลภเหตุ, อโทสเหตุ, อโมหเหตุ

จำแนกเหตุโดยประเภทแห่งบุคคล

ปุถุชน มี ๖ เหตุ ได้แก่ โลภเหตุ, โทสเหตุ, โมหเหตุ, อโลภเหตุ, อโทสเหตุ, อโมหเหตุ
โสดาบันบุคคล มี ๖ เหตุ ได้แก่ โลภเหตุ, โทสเหตุ, โมหเหตุ, อโลภเหตุ, อโทสเหตุ, อโมหเหตุ
สกทาคามีบุคคล มี ๖ เหตุ ได้แก่ โลภเหตุ, โทสเหตุ, โมหเหตุ, อโลภเหตุ, อโทสเหตุ, อโมหเหตุ
อนาคามีบุคคล มี ๕ เหตุ ได้แก่ โลภเหตุ, โมหเหตุ, อโลภเหตุ, อโทสเหตุ, อโมหเหตุ
พระอรหันต์ มี ๓ เหตุ ได้แก่ อโลภเหตุ, อโทสเหตุ, อโมหเหตุ

ข้อสังเกต
อโสภณจิต
- อเหตุกจิต เป็นจิตที่ไม่มีเหตุประกอบ
- อกุศลจิต เป็นจิตที่มีเหตุ ประกอบอย่างมาก ๒ เหตุ อย่างน้อย ๑ เหตุ
โสภณจิต เป็นจิตที่มีเหตุประกอบอย่างมาก ๓ เหตุ อย่างน้อย ๒ เหตุ

สำหรับจิตที่ประกอบด้วยเหตุ ๔-๕-๖ เหตุนั้น ไม่มี เพราะ โลภะ โทสะ โมหะ เป็นฝ่ายอโสภณเหตุ และอโลภะ, อโทสะ อโมหะ เป็นฝ่ายโสภณเหตุ ทั้งสองฝ่ายจะประกอบกับจิตร่วมกันไม่ได้

⛯ แสดงเหตุกับเจตสิก

เหตุ ๖ โลภะ, โทสะ โมหะ, อโลภะ, อโทสะ, อโมหะ อันเป็นเจตสิกธรรมซึ่งจะต้องเกิดพร้อมกับจิต ดับพร้อมกับจิต มีอารมณ์อันเดียวกันกับจิต และมีที่อาศัยอันเดียวกันกับจิต เหตุ ๖ นอกจากเกิดพร้อมกับจิตดังกล่าวแล้ว ยังเกิดพร้อมกับเจตสิกอื่น ๆ ตามที่ประกอบได้อีกด้วย ฉะนั้น เจตสิกใด เกิดพร้อม หรือประกอบกับเหตุ ๖ อันใดบ้าง มีการแสดงไว้เป็น ๒ นัย คือ

๑. อคหิตัคคหนนัย คือ เจตสิกที่นับแล้ว ไม่นับอีก หมายความว่า เจตสิกใดที่ได้ยกขึ้นเป็นหัวข้อแสดงแล้ว ไม่นำมากล่าวอ้างนับซ้ำอีก ได้แก่การยกเอาเจตสิกทั้ง ๕๒ ขึ้นมาแสดงแต่ละดวงว่าประกอบกับเหตุใดได้บ้าง หยิบยกมาแสดงจนครบจำนวนทั้ง ๕๒ ดวงโดยไม่มีการซ้ำกันเลย 

แสดงการจําแนกเจตสิกที่ประกอบกับเหตุโดยอคหิตคดหนนัย เจตสิกที่นับแล้วไม่นับอีก มีการแสดง ๗ นัย  คือ 

นัยที่ ๑  อเหตุกเจตสิก เจตสิกที่ไม่มีเหตุประกอบนั้น ไม่มี   
นัยที่ ๒ เอกเหตุกเจตสิก เจตสิกที่มีเหตุประกอบ ๑ เหตุ มี ๓ ดวง คือ : -

  • โลภเจตสิก มีเหตุประกอบ ๑ เหตุ คือ โมหเหตุ
  • โทสเจตสิก มีเหตุประกอบ ๑ เหตุ คือ โมหเหตุ
  • วิจิกิจฉาเจตสิก มีเหตุประกอบ ๑ เหตุ คือ โมหเหตุ

นัยที่ ๓ ทวิเหตุกเจตสิก เจตสิกที่มีเหตุประกอบ ๒ เหตุ มี ๔ ดวง คือ : -

  • โมหเจตสิก มีเหตุประกอบ ๒ เหตุ คือ โลภเหตุ, โทสเหตุ
  • ทิฏฐิเจตสิก มีเหตุประกอบ ๒ เหตุ คือ โลภเหตุ, โมหเหตุ
  • มานเจตสิก มีเหตุประกอบ ๒ เหตุ คือ โลภเหตุ, โมหเหตุ
  • อิสสาเจตสิก มีเหตุประกอบ ๒ เหตุ คือ โทสเหตุ, โมหเหตุ
  • มัจฉริยเจตสิก มีเหตุประกอบ ๒ เหตุ คือ โทสเหตุ, โมหเหตุ
  • กุกกุจจเจตสิก มีเหตุประกอบ ๒ เหตุ คือ โทสเหตุ, โมหเหตุ
  • อโลภเจตสิก มีเหตุประกอบ ๒ เหตุ คือ อโทสเหตุ, อโมหเหตุ
  • อโทสเจตสิก มีเหตุประกอบ ๒ เหตุ คือ อโลภเหตุ, อโมหเหตุ
  • ปัญญาเจตสิก มีเหตุประกอบ ๒ เหตุ คือ อโลภเหตุ, อโทสเหตุ

นัยที่ ๔ ติเหตุกเจตสิก เจตสิกที่มีเหตุประกอบ ๓ เหตุ มี ๒๗ ดวง คือ :-

  • อหิริกเจตสิก มีเหตุประกอบ ๓ เหตุ คือ โลภเหตุ, โทสเหตุ, โมหเหตุ
  • อโนตตัปปเจตสิก มีเหตุประกอบ ๓ เหตุ คือ โลภเหตุ, โทสเหตุ, โมหเหตุ
  • อุทธัจจเจตสิก มีเหตุประกอบ ๓ เหตุ คือ โลภเหตุ, โทสเหตุ, โมหเหตุ
  • ถีนเจตสิก มีเหตุประกอบ ๓ เหตุ คือ โลภเหตุ, โทสเหตุ, โมหเหตุ
  • มิทธเจตสิก มีเหตุประกอบ ๓ เหตุ คือ โลภเหตุ, โทสเหตุ, โมหเหตุ
  • โสภณเจตสิก ๒๒ (เว้นอโลภะ, อโทสะ, ปัญญา) มีเหตุประกอบ ๓ เหตุ คือ อโลภเหตุ, อโทสเหตุ, อโมหเหตุ

นัยที่ ๕  จตุเหตุกเจตสิก เจตสิกที่มีเหตุประกอบ ๔ เหตุ ไม่มี
นัยที่ ๖  ปัญจเหตุกเจตสิก เจตสิกที่มีเหตุประกอบ ๕ เหตุ มี ๑ ดวง คือ

  • ปีติเจตสิก มีเหตุประกอบ ๕ เหตุ ได้แก่ โลภเหตุ, โมหเหตุ, อโลภเหตุ, อโทสเหตุ, อโมหเหตุ

นัยที่ ๗ ฉเหตุกเจตสิก เจตสิกที่มีเหตุประกอบ ๖ เหตุ มี ๑๒ ดวง คือ

  • อัญญสมานาเจตสิก ๑๒  (เว้นปีติเจตสิก) มีเหตุประกอบ ๖ เหตุ ได้แก่ โลภเหตุ, โทสเหตุ, โมหเหตุ, อโลภเหตุ, อโทสเหตุ, อโมหเหตุ

รวมเจตสิกที่มีเหตุประกอบ ๑ เหตุ มี ๓ ดวง
เจตสิกที่มีเหตุประกอบ ๒ เหตุ มี ๙ ดวง
เจตสิกที่มีเหตุประกอบ ๓ เหตุ มี ๒๗ ดวง
เจตสิกที่มีเหตุประกอบ ๕ เหตุ มี ๑ ดวง
เจตสิกที่มีเหตุประกอบ ๖ เหตุ มี ๑๒ ดวง

รวมเจตสิกที่มีเหตุประกอบ ๕๒ ดวง

นี่คือ การแสดงว่า เจตสิก ๕๒ ดวง มีเหตุใดประกอบได้บ้าง และ เป็นการยกเอาเจตสิก ๕๒ ดวงนั้น มาแสดงแล้ว ไม่นำมาแสดงซ้ำอีก เรียกการนับเจตสิกที่ประกอบกับเหตุนี้ว่า “อคหิตัคคหนนัย” คือเจตสิกที่นับแล้วไม่นับอีก

๒.คหิตัคคหนนัย คือ เจตสิกที่นับแล้วนับอีก หมายความว่า เมื่อยกเอาเจตสิกใดมาแสดง โดยการประกอบด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งแล้ว หากเจตสิกดวงที่ยกมาแสดงแล้ว ยังอาจประกอบกับเหตุอื่นได้อีก ก็ยังต้องยกมากล่าวอ้างอีก ดังเช่น โมหเจตสิกที่นับโดยการประกอบกับโลภมูลจิตแล้ว ยังต้องนำมานับซ้ำอีกเมื่อโมหเจตสิกนั้น ประกอบกับโทสมูลจิตได้อีกด้วย

แสดงการจําแนกเจตสิก ประกอบกับเหตุโดย คหิตคคหนนัย เจตสิกที่นับแล้วนับอีก ตามที่ประกอบกับจิต มีการแสดง ๔ นัย คือ

นัยที่ ๑  อเหตุกเจตสิก เป็นเจตสิกที่ไม่มีเหตุประกอบ มี ๑๓ ดวง คือ

  • อัญญสมานาเจตสิก ๑๒ (เว้นฉันทะ) ที่ประกอบกับอเหตุกจิต ๑๘
  • โมหเจตสิก ๑ ที่ประกอบกับโมหมูลจิต ๒

นัยที่ ๒  เอกเหตุกเจตสิก คือ เจตสิกที่มีเหตุประกอบ ๑ เหตุ มีจำนวน ๒๐ ดวง คือ

  • อัญญสมานาเจตสิก ๑๑ (เว้นปีติ, ฉันทะ) ที่ประกอบกับโมหมูลจิต ๒ มีเหตุ ๑ เหตุ คือ โมหเหตุ
  • อหิริกะ ๑ ที่ประกอบกับโมหมูลจิต ๒  มีเหตุ ๑ เหตุ คือ โมหเหตุ
  • อโนตตัปปะ ๑ ที่ประกอบกับโมหมูลจิต ๒  มีเหตุ ๑ เหตุ คือ โมหเหตุ
  • อุทธัจจะ ๑ ที่ประกอบกับโมหมูลจิต ๒  มีเหตุ ๑ เหตุ คือ โมหเหตุ
  • วิจิกิจฉา ๑ ที่ประกอบกับโมหมูลจิต ๒  มีเหตุ ๑ เหตุ คือ โมหเหตุ
  • โลภเจตสิก ๑ ที่ประกอบกับโลภมูลจิต ๘  มีเหตุ ๑ เหตุ คือ โมหเหตุ
  • โทสเจตสิก ที่ประกอบกับโทสมูลจิต ๒ มีเหตุ ๑ เหตุ คือ โมหเหตุ
  • โมหเจตสิก ๑ ที่ประกอบกับโลภมูลจิต ๘ มีเหตุ ๑ เหตุ คือ โลภเหตุ ที่ประกอบกับโทสมูลจิต ๒ มีเหตุ ๑ เหตุ คือ โทสเหตุ
  • อโลภเจตสิก ๑ ที่ประกอบกับญาณวิปปยุตจิต ๑๒ มีเหตุ ๑ เหตุ คือ อโทสเหตุ
  • อโทสเจตสิก ๑ ที่ประกอบกับญาณวิปปยุตจิต ๑๒ มีเหตุ ๑ เหตุ คือ อโลภเหตุ

นัยที่ ๓ ทวิเหตุกเจตสิก คือเจตสิกที่มีเหตุประกอบ ๒ เหตุ มีจำนวน ๔๘ ดวง คือ

ก. เจตสิก ๔๕ (เว้นเหตุกเจตสิก ๖ และวิจิกิจฉา ๑) ที่ประกอบกับทวิเหตุกจิต ๒๒

  • อัญญสมานาเจตสิก ๑๓ หรือ ๑๒ ที่ประกอบกับโลภมูลจิต ๘ มี ๒ เหตุ คือ โลภเหตุ, โมหเหตุ ที่ประกอบกับโทสมูลจิต ๒ มี ๒ เหตุ คือ โทสเหตุ, โมหเหตุ ที่ประกอบกับญาณวิปปยุตจิต ๑๒ มี ๒ เหตุ คือ อโลภเหตุ อโทสเหตุ
  • อหิริกะ ๑, อโนตตัปปะ ๑, อุทธัจจะ ที่ประกอบกับโลภมูลจิต ๘ มี ๒ เหตุ คือ โลภเหตุ, โมหเหตุ ที่ประกอบกับโทสมูลจิต ๒ มี ๒ เหตุ คือ โทสเหตุ, โมหเหตุ
  • ทิฏฐิ ๑ ที่ประกอบกับทิฏฐิคตสัมปยุตจิต ๔ มี ๒ เหตุ คือ โลภเหตุ, โมหเหตุ
  • มานะ ๑ ที่ประกอบกับทิฏฐิคตวิปปยุตจิต ๔ มี ๒ เหตุ คือ โลภเหตุ, โมหเหตุ
  • อิสสา ๑, มัจฉริยะ ๑, กุกกุจจะ ๑ ที่ประกอบกับโทสมูลจิต ๒ มี ๒ เหตุ คือ โทสเหตุ, โมหเหตุ
  • ถีนะ ๑ ที่ประกอบกับโลภมูลสสังขาริกจิต มี ๒ เหตุ คือ โลภเหตุ, โมหเหตุ
  • มิทธะ ๑ ที่ประกอบกับโทสมูลสสังขาริกจิต มี ๒ เหตุ คือ โทสเหตุ, โมหเหตุ
  • โสภณเจตสิก ๒๒ (เว้นอโลภะ, อโทสะ อโมหะ) ที่ประกอบกับญาณวิปปยุตจิต ๑๒ มี ๒ เหตุ คือ อโลภเหตุ, อโทสเหตุ

ข. เจตสิก ๓ ดวง คือ อโลภะ, อโทสะ, และอโมหะ ที่ประกอบกับติเหตุกจิต ๔๗ หรือ ๗๙

  • อโลภเจตสิก ๑ ที่ประกอบกับญาณสัมปยุตจิต ๔๗ หรือ ๗๙ มี ๒ เหตุ คือ อโทสเหตุ, อโมหเหตุ
  • อโทสเจตสิก ๑ ที่ประกอบกับญาณสัมปยุตจิต ๔๗ หรือ ๗๙ มี ๒ เหตุ คือ อโลภเหตุ, อโมหเหตุ
  • ปัญญาเจตสิก ๑ ที่ประกอบกับญาณสัมปยุตจิต ๔๗ หรือ ๗๙ มี ๒ เหตุ คือ อโลภเหตุ, อโทสเหตุ

นัยที่ ๔ ติเหตุกเจตสิก คือ เจตสิกที่มีเหตุประกอบ ๓ เหตุ มีจำนวน ๓๕ ดวง คือ 

  • อัญญสมานาเจตสิก ๑๓ ที่ประกอบกับติเหตุกจิต ๔๗ หรือ ๗๙ มี ๓ เหตุ คือ อโลภเหตุ, อโทสเหตุ, อโมหเหตุ 
  • โสภณเจตสิก ๒๒ (เว้นอโลภะ, อโทสะ อโมหะ) ที่ประกอบกับติเหตุกจิต ๔๗ หรือ ๗๙ มี ๓ เหตุ คือ อโลภเหตุ, อโทสเหตุ, อโมหเหตุ


การนับจํานวนเหตุโดยพิสดาร

๑. อกุศลเหตุ มีจำนวน ๒๒ คือ
- โลภเหตุ มี ๘
- โทสเหตุ มี ๒
- โมหเหตุ มี ๑๒

รวมอกุศลเหตุ มี ๒๒

๒.กุศลเหตุ มีจำนวน ๑๐๗ คือ
- อโลภเหตุ มี ๓๗
- อโทสเหตุ มี ๓๗
- อโมหเหตุ มี ๓๓

รวมกุศลเหตุ มี ๑๐๗

๓. วิปากเหตุ มีจำนวน ๑๐๗ คือ
- อโลภเหตุ มี ๓๗
- อโทสเหตุ มี ๓๗
- อโมหเหตุ มี ๓๓

รวมวิปากเหตุ มี ๑๐๗

๔.กิริยาเหตุ มีจำนวน ๔๗ คือ
- อโลภเหตุ มี ๑๗
- อโทสเหตุ มี ๑๗
- อโมหเหตุ มี ๑๓

รวมกิริยาเหตุ มี ๔๗

รวมจำนวนเหตุโดยพิสดาร มีจำนวน ๒๘๓ คือ
- อกุศลเหตุ มี ๒๒
- กุศลเหตุ มี ๑๐๗
- วิปากเหตุ มี ๑๐๗
- กิริยาเหตุ มี ๔๗

- จบเหตุสังคหะ –

เวทนาสังคหะ

แสดงการรวบรวมจิต เจตสิก โดยประเภทแห่งเวทนา ชื่อว่า “เวทนาสังคหะ”

คาถาสังคหะ
สุขํ ทุกฺขมุเปกฺขาติ   ติวิธา ตตฺถ เวทนา
โสมนสฺสํ โทมนสฺส   มิติ เภเทน ปญฺจธา ฯ

แปลความว่า ในเวทนาสังคหะนั้น ว่าโดยอารัมมณานุภวนลักขณะ คือตามประเภทแห่งอารมณ์แล้ว มีเวทนา ๓ อย่าง คือ ๑. สุขเวทนา ๒. ทุกขเวทนา ๓. อุเบกขาเวทนา เมื่อว่าโดยอินทริยเภท คือ ประเภทความเป็นใหญ่ของเครื่องรับอารมณ์แล้ว มีเวทนา ๕ อย่าง คือ เพิ่ม โสมนัสเวทนา และ โทมนัสเวทนา รวมเข้าด้วยกัน จึงเป็นเวทนา ๕

อธิบาย “เวทนา” เป็นเจตสิกปรมัตถ์อย่างหนึ่ง ซึ่งมีการเป็นไปโดยอาการเสวยอารมณ์ เป็นลักษณะ หรือเป็นธรรมชาติที่มีความรู้สึกต่อบรรดาอารมณ์ต่าง ๆ ที่มาปรากฏ การสงเคราะห์จิต เจตสิก โดยประเภทแห่งเวทนานี้ มีแสดงไว้เป็น ๒ นัย คือ

นัยที่ ๑ แสดงโดย อารัมมณานุภวนลักขณนัย คือ นัยที่แสดงการเสวยอารมณ์ ตามประเภทของอารมณ์ นัยที่ ๒ แสดงโดย อินนทริยเภทนัย คือ นัยที่แสดงถึงสภาพความเป็นใหญ่ในการเสวยอารมณ์ ตามประเภทของเครื่องรับอารมณ์


นัยที่ ๑ อารัมมณานุภวนลักขณนัย
มีเวทนา ๓
ในบรรดาอารมณ์ ๖ คือ รูป, เสียง, กลิ่น, รส, โผฏฐัพพะและธัมมารมณ์ที่สัตว์ทั้งหลายได้รับอยู่นี้ แบ่งออกได้เป็น ๓ ประเภท คือ :-
๑. อิฏฐารมณ์ คือ อารมณ์ที่ดี
๒. อนิฏฐารมณ์ คือ อารมณ์ที่ไม่ดี
๓. มัชฌัตตารมณ์ คือ อารมณ์ปานกลาง

ความรู้สึกในการเสวยอารมณ์ของสัตว์นั้น ย่อมเป็นไปตามประเภทของอารมณ์ คือ :-

๑. ขณะที่กำลังเสวยอิฏฐารมณ์อยู่นั้น ก็รู้สึกสบายกาย สบายใจ ความรู้สึกสบายกายสบายใจนี้ เรียกว่า “สุขเวทนา”
๒. ขณะที่กำลังเสวยอนิฏฐารมณ์อยู่นั้น ก็รู้สึกไม่สบายกาย หรือไม่สบายใจ ความรู้สึกไม่สบายนี้ เรียกว่า “ทุกขเวทนา”
๓. ขณะที่กำลังเสวยมัชฌัตตารมณ์อยู่นั้น รู้สึกเฉย ๆ ไม่มีสุข ไม่มีทุกข์ทั้งกายและใจ ความรู้สึกเฉยๆ ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุขนี้ เรียกว่า “อทุกขมสุขเวทนา”

แสดงการจำแนกจิต ๑๒๑ โดยเวทนา ๓ (อารัมมณานุภวนลักขณนัย)
๑. จิตที่เกิดพร้อมกับสุขเวทนา ทั้งสุขกายและสุขใจ มี ๖๓ ดวง คือ
- สุขสหคตกายวิญญาณ ๑ ดวง
- โสมนัสสหคตจิต ๖๒ ดวง

๒. จิตที่เกิดพร้อมกับทุกขเวทนา คือ ความทุกข์กายและทุกข์ใจมี
- ทุกขสหคตกายวิญญาณ ๑ ดวง
-โทมนัสสหคตจิต ๒ ดวง

๓. จิตที่เกิดพร้อมกับอทุกขมสุขเวทนา คือ ความไม่ทุกข์และไม่สุข ทั้งกายและใจ เรียกว่า อุเบกขาเวทนา มี ๕๕ ดวง คือ 


นัยที่ ๒ อินทริยเภทนัย มีเวทนา ๕

คาถาสังคหะ
สุขเมกตฺถ ทุกฺขกฺจ   โทมนสฺสํ ทฺวเย ฐิตํ
ทฺวาสฏฐีสุ โสมนสฺสํ   ปญฺจปญฺญาสเกตรา ฯ

แปลความว่า สุขเวทนา ๑, ทุกขเวทนา ๑, โทมนัสเวทนา ๒, โสมนัสเวทนา ๖๒, อุเบกขาเวทนา ๕๕ (กล่าวโดยอินทริยเภทนัย)

อินนทริยเภทนัย คือ นัยที่แสดงการเสวยอารมณ์ ตามประเภทความเป็นใหญ่แห่งเครื่องรับอารมณ์ กล่าวคือ การเสวยอารมณ์ของบรรดาสัตว์ทั้งหลายนั้นย่อมปรากฏชัด ทางกายบ้าง และทางใจบ้าง เรียกความปรากฏชัดในการเสวยอารมณ์นี้ว่า ความเป็นใหญ่ในการเสวยอารมณ์ซึ่งปรากฏได้ ๒ ทาง คือ ทางกาย และทางใจ

ความรู้สึกสบายทางกายนั้น เวทนาเจตสิก ที่เกิดพร้อมกับสุขสหคตกายวิญญาณนั้น เป็นใหญ่ เป็นผู้ปกครอง ในการเสวยอารมณ์ที่สบายกาย เรียกเวทนานั้นว่า “สุขเวทนา”

ความรู้สึกไม่สบายทางกายนั้น เวทนาเจตสิก ที่เกิดพร้อมกับทุกขสหคตกายวิญญาณนั้น เป็นใหญ่ เป็นผู้ปกครอง ในการเสวยอารมณ์ที่ไม่สบายกาย เรียกเวทนานั้นว่า “ทุกขเวทนา”

ความรู้สึกสบายใจนั้น เวทนาเจตสิกที่เกิดพร้อมกับโสมนัสสหคตจิตนั้น เป็นใหญ่ เป็นผู้ปกครอง ในการเสวยอารมณ์ที่สบายใจ เรียกเวทนานั้นว่า “โสมนัสเวทนา”

ความรู้สึกไม่สบายทางใจนั้น เวทนาเจตสิกที่เกิดพร้อมกับโทสมูลจิตนั้นย่อมเป็นใหญ่ เป็นผู้ปกครอง ในการเสวยอารมณ์ที่ไม่สบายใจ เรียกเวทนานั้นว่า “โทมนัสเวทนา”

ความรู้สึกเฉย ๆ ที่ปรากฏได้เฉพาะทางใจนั้น เวทนาเจตสิกที่เกิดพร้อมกับอุเบกขาสหคตจิต เป็นใหญ่ เป็นผู้ปกครอง ในการเสวยอารมณ์โดยรู้สึกเฉย ๆ เรียกเวทนานั้นว่า “อุเบกขาเวทนา”

รวมความว่า ความเป็นใหญ่ในการเสวยอารมณ์ของสัตว์ทั้งหลายที่ปรากฏทางกายกับทางใจนั้น มีเวทนาเกิดได้ ๕ อย่าง คือ :-

๑. ทางกาย 
- ความรู้สึกสบายกาย เรียกว่า สุขเวทนา
- ความรู้สึกไม่สบายกาย เรียกว่า ทุกขเวทนา

๒. ทางใจ
- ความรู้สึกสบายใจ เรียกว่า โสมนัสเวทนา
- ความรู้สึกไม่สบายใจ เรียกว่า โทมนัสเวทนา
- ความรู้สึกเฉยๆ เรียกว่า อุเบกขาเวทนา

แสดงเวทนา ๕ ที่เกิดพร้อมกับจิต ๑๒๑

๑. จิตที่เกิดพร้อมกับ สุขเวทนา (สุขกาย) มี ๑ ดวง ได้แก่ สุขสหคตกายวิญญาณ
๒. จิตที่เกิดพร้อมกับ ทุกขเวทนา (ทุกข์กาย) มี ๑ ดวง ได้แก่ทุกขสหคตกายวิญญาณ
๓. จิตที่เกิดพร้อมกับ โสมนัสเวทนา (สุขใจ) มี ๖๒ ดวง ได้แก่ กามโสมนัสสหคตจิต ๑๖ ดวง ฌานโสมนัสสหคตจิต ๔๔ ดวง
๔. จิตที่เกิดพร้อมกับ โทมนัสเวทนา (ทุกข์ใจ) มี ๒ ดวง ได้แก่ โทมนัสสหคตจิต (โทสมูลจิต)
๕. จิตที่เกิดพร้อมกับ อุเบกขาเวทนา (เฉยๆ) มี ๕๕ ดวง ได้แก่ กามอุเบกขาสหคตจิต ๓๒ ดวง ฌานอุเบกขาสหคตจิต ๒๓ ดวง

เวทนา กับ เจตสิก เวทนากับเจตสิก มีการแสดงเป็น ๒ นัย คือ :-
ก. แสดงว่า เวทนาใด เกิดกับเจตสิกอะไรได้บ้าง
ข. แสดงว่า เจตสิกใด เกิดกับเวทนาอะไรได้บ้าง

ก. เวทนาเกิดกับเจตสิก
สุขเวทนา เกิดได้กับ สัพพจิตตสาธารณเจตสิก ๖ (เว้นเวทนาเจตสิก)
ทุกขเวทนา เกิดได้กับ สัพพจิตตสาธารณเจตสิก ๖ (เว้นเวทนาเจตสิก)
โสมนัสเวทนา เกิดได้กับ เจตสิก ๔๖ ดวง คือ

  • อัญญสมานาเจตสิก ๑๒ (เว้นเวทนาเจตสิก)
  • อกุศลเจตสิก ๙ (เว้นโทจตุกะ ๔ วิจิกิจฉาเจตสิก ๑)
  • โสภณเจตสิก ๒๕

โทมนัสเวทนา เกิดได้กับ เจตสิก ๒๑ ดวง คือ

  • อัญญสมานาเจตสิก ๑๑ (เว้นเวทนา ปีติ) 
  • อกุศลเจตสิก ๑๐ (เว้นโลติกะ ๓, วิจิกิจฉาเจตสิก ๑)

อุเบกขาเวทนา เกิดได้กับ เจตสิก ๔๖ ดวง คือ

  • อัญญสมานาเจตสิก ๑๑ (เว้นเวทนา ปีติ)
  • อกุศลเจตสิก ๑๐ (เว้นโทจตุกะ ๔)
  • โสภณเจตสิก ๒๕

ข. เจตสิกที่เกิดพร้อมกับเวทนา
๑. เจตสิกที่เกิดพร้อมกับเวทนาอย่างเดียว มี ๖ ดวง คือ 
ปีติเจตสิก ๑ เกิดพร้อมกับ โสมนัสเวทนา อย่างเดียว
โทจตุกเจตสิก ๔ เกิดพร้อมกับ โทมนัสเวทนา อย่างเดียว
วิจิกิจฉาเจตสิก ๑ เกิดพร้อมกับ อุเบกขาเวทนา อย่างเดียว

๒. เจตสิกที่เกิดพร้อมกับเวทนา ๒ มี ๒๘ ดวง คือ :-
โลติกเจตสิก ๓ เกิดพร้อมกับโสมนัสเวทนาก็ได้
โสภณเจตสิก ๒๕ เกิดพร้อมกับอุเบกขาเวทนาก็ได้

๓. เจตสิกที่เกิดพร้อมกับเวทนา ๓ มี ๑๑ ดวง คือ :-
โมจตุกเจตสิก ๔ ถีนมิทธเจตสิก ๒ วิตกเจตสิก ๑ วิจารเจตสิก ๑  อธิโมกขเจตสิก ๑ วิริยเจตสิก ๑ ฉันทเจตสิก ๑ เจตสิก ๑๑ ดวงนี้ เกิดพร้อมกับโสมนัสเวทนา, โทมนัสเวทนาหรืออุเบกขาเวทนา อย่างใดก็ได้

๔.เจตสิกที่เกิดพร้อมกับเวทนา ๕ มี ๖ ดวง คือ สัพพจิตตสาธารณเจตสิก ๖ (เว้นเวทนาเจตสิก)

. เจตสิกที่ไม่เกิดพร้อมกับเวทนา มี ๑ ดวง คือเวทนาเจตสิก ๑



ความเบื้องต้น ปกิณณกสังคหวิภาค

ปริจิตเฉทที่ ๓ ปกิณณกสังคหวิภาค   

นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมา สมฺพุทฺธสฺส ฯ

ความเบื้องต้น พระอนุรุทธาจารย์ได้รวบรวมพระอภิธัมมัตถสังคหะ ปริจเฉทที่ ๓ ขึ้น อันมีชื่อว่า ปกิณณกสังคหวิภาค

  • ปกิณกกะ แปลว่า กระจัดกระจาย, คละกัน, เบ็ดเตล็ด, เรี่ยราย โดยทั่ว ๆ ไป 
  • สังคหะ แปลว่า รวบรวม 
  • วิภาค แปลว่า ส่วน หรือ ตอน

ฉะนั้น ปกิณณกสังคหวิภาค จึงแปลว่า ส่วนที่รวบรวมจิตและเจตสิก ที่กระจัดกระจายอยู่โดยทั่ว ๆ ไป กล่าวคือ แสดงการรวบรวมจิตและเจตสิกที่เกิดขึ้น โดยประเภทแห่งเวทนา, เหตุ, กิจ, ทวาร, อารมณ์ และวัตถุ ตามสมควร

พระอภิธัมมัตถสังคหะ ปริจเฉทที่ ๓ ว่าด้วยปกิณณกสังคหวิภาคนี้ พระอนุรุทธาจารย์ได้แสดงคาถาสังคหะไว้ ๑๔ คาถา ซึ่งจะได้ขยายความตามลำดับคาถา ดังต่อไปนี้


คาถาสังคหะ

๑. สมฺปยุตฺตา ยถาโยคํ   เตปญฺญาส สภาวโต
จิตฺตเจตสิกา ธมฺมาส   เตสํ ทานิ ยถารหํ ฯ

แปลความว่า สภาวธรรม ๕๓ คือจิตและเจตสิก มีชื่อว่า นามเตปญฺญาสน (นาม ๕๓) ได้แสดงโดยลักษณะของตน ๆ ที่ประกอบด้วย เอกุปฺปาทตา (ความเกิดพร้อมกัน) เป็นต้น และการประกอบซึ่งกันและกัน ตามที่ประกอบได้โดยพิสดาร แสดงมาแล้วในปริจเฉทที่ ๒

     สภาวธรรม ๕๓ อย่างที่กล่าวนี้ หมายถึง จิต ๑ และเจตสิก ๕๒ ซึ่งนับโดยการถือเอาสภาวลักษณะแห่งนามธรรมนั้นๆ เป็นประการสำคัญโดยนัยเป็นต้นว่า

  • จิต แม้มีจำนวน ๘๙ หรือ ๑๒๑ ดวงก็ตาม เมื่อนับโดยสภาวลักษณะแล้วก็มีเพียง ๑ คือ มีการรู้อารมณ์เป็นลักษณะ (อารมฺมณวิชานนลกฺขณํ) 
  • ผัสสเจตสิก มีการกระทบถูกต้องอารมณ์เป็นลักษณะ (ผุสนลกฺขณา) 
  • เวทนาเจตสิก มีการเสวยอารมณ์เป็นลักษณะ (อนุภวนลกฺขณา) เจตสิกทั้ง ๕๒ ประเภทนี้ มีสภาวลักษณะโดยเฉพาะ ๆ แตกต่างกันทั้ง ๕๒ ประเภท ฉะนั้น เมื่อรวมจิตและเจตสิกเข้าแล้วก็ได้สภาวธรรม ๕๓ ที่ชื่อว่า นามเตปญฺญาส (นาม ๕๓) ดังกล่าวแล้วข้างต้น

ในปริจเฉทที่ ๓ อันว่าด้วยปกิณณกสังคหวิภาคนี้ เป็นการแสดงธรรม ๖ หมวด จากการเกิดขึ้นของจิตและเจตสิก ดังคาถาสังคหะที่ ๒ คือ


คาถาสังคหะ
๒. เวทนาเหตุโต กิจฺจ   ทฺวาราลมฺพนวตฺถุโต
จิตฺตุปฺปาทวเสเนว   สงฺคโห นาม นียเต ฯ

แปลความว่า บัดนี้ จักแสดงการสงเคราะห์กันของจิตและเจตสิก ว่าด้วยอำนาจการเกิดขึ้นของจิต โดยประเภทแห่งเวทนา, เหตุ, กิจ, ทวาร, อารมณ์ และวัตถุ ตามสมควรที่ประกอบได้

คาถานี้ พระอนุรุทธาจารย์มีความมุ่งหมาย แสดงเพื่อให้เป็นปุพพานุสนธิและอปรานุสนธิ คือ เชื่อมโยงกันระหว่างปริจเฉทที่ ๒ ที่ได้แสดงไปแล้ว กับปริจเฉทที่ ๓ ที่จะแสดงต่อไป และเพื่อกำหนดหัวข้อในปริจเฉทที่ ๓ นี้ว่าจะแสดงสังคหะ ๖ อย่าง มีเวทนาสังคหะ เป็นต้น ทั้งเพื่อแสดงปฏิญญาว่าจะขยายความแห่งการเกิดขึ้นของจิตโดยประเภทแห่งเวทนา, เหตุ, กิจ, ทวาร, อารมณ์และวัตถุ ในพระอภิธัมมัตถสังคหะ ปริจเฉทที่ ๓ นี้ พระอนุรุทธาจารย์ จึงได้แสดงไว้แต่การจำแนกจิตเพียงอย่างเดียว มิได้แสดงการจำแนกเจตสิกไว้ด้วย แต่การเกิดขึ้นของจิตที่เรียกว่า จิตฺตุปฺปาท คือ จิตที่เกิดขึ้นพร้อมกับเจตสิกที่ประกอบ ฉะนั้น จึงเป็นการสมควรที่จะได้แสดงการสงเคราะห์ทั้งจิตและเจตสิกโดยประเภทแห่งเวทนา, เหตุ, กิจ, ทวาร, อารมณ์และวัตถุไว้ให้พิสดาร โดยนัยที่จะได้แสดงต่อไปตามลำดับ



โลกุตรจิต ๘

โลกุตรจิต เป็นจิตที่พ้นจากโลก หมายความว่า เป็นจิตที่มีอารมณ์เหนือสภาวธรรมที่มีอยู่ในโลก หรือเป็นจิตที่มีความสามารถรับอารมณ์พิเศษที่เหนือโลก คือ นิพพานอารมณ์ จิตเหล่านี้มีจำนวน ๘ ดวง และสามารถรับนิพพพานอารมณ์ โดยแน่นอนอย่างเดียว จึงเรียกจิต ๘ ดวงนี้ว่า โลกุตรจิต

โลกุตตรจิตฺต เมื่อแยกศัพท์ ย่อมได้แก่ โลก  + อุตฺตร + จิตฺต = โลกุตตรจิตฺต โลก หมายถึง โลกทั้ง ๓ คือ กามโลก (กามภูมิ) รูปโลก (รูปภูมิ) และอรูปโลก (อรูปภูมิ) หรืออีกนัยหนึ่ง “โลก” หมายถึง สิ่งที่ต้อง แตกดับ สูญสิ้นไป เป็นธรรมดา “อุตตร” หมายความว่า เหนือ หรือ พ้น โลกุตรจิต จึงหมายถึงจิตที่เหนือโลกทั้ง ๓ หรือจิตที่พ้นจากการท่องเที่ยวไปในโลกทั้ง ๓ หมายความว่า จิตนี้มีอารมณ์ที่เหนือโลก มีอารมณ์ที่พ้นจากโลก กล่าวคือ โลกุตรจิต มีนิพพานเป็นอารมณ์ และนิพพานนี้จัดเป็นธรรมที่พ้นโลก เป็นธรรมที่เหนือโลกทั้ง ๓

โลกุตรจิต เป็นจิตที่มีอารมณ์พ้นจากการเกิดดับนั้น ก็มิได้หมายความว่าจิตจะไม่เกิด-ดับ จิตก็ยังคงมีอาการเกิดดับตามสภาพของจิต เป็นจิตที่รับอารมณ์พิเศษอันพ้นจากการเกิดดับ อารมณ์ที่กล่าวถึงนี้ ก็คือ “นิพพาน” เป็นอารมณ์ที่ไม่มีการเกิดดับ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความพินาศ เป็นธรรมที่พ้นจากการถูกปรุงแต่งเป็นอสังขตธรรม

ธรรมดาธรรมทั้งหลายที่เป็นไปในโลกทั้ง ๓ ย่อมเกิดดับทั้งสิ้น แต่นิพพานเป็นธรรมที่ไม่มีการเกิดดับ เป็นธรรมที่พ้นจากการเกิดดับ นิพพานจึงเป็นธรรมที่พ้นไปจากโลก เป็นธรรมที่เหนือโลก พ้นจากการปรุงแต่งด้วยปัจจัยธรรม คือ กรรม จิต อุตุ และอาหาร ทั้งสิ้น

คาถาสังคหะ
จตุมคฺคปฺปเภเทน จตุธา กุสลนฺตถา
ปากนฺตสฺส ผลตฺตาติ อฏฺฐธานุตฺตรํ มตํฯ

แปลความว่า โลกุตรจิตโดยย่อ มี ๘ คือ โลกุตรจิตว่าโดยประเภทแห่งมรรคมี ๔ และโลกุตรวิบากจิต ซึ่งเป็นผลของโลกุตรกุศลจิต ก็มี ๔

🔅 จำแนกโลกุตรจิต ๘ โดยประเภทแห่งชาติ

โลกุตรจิต ๘ นั้น มีอยู่ ๒ ชาติ คือ : -

  • ๑. ชาติกุศล ชื่อว่า โลกุตรกุศลจิต หรือ มัคคจิต มีจำนวน ๔ ดวง เรียกตามชื่อของญาณที่เกิดในขณะจิตนั้นๆ เพราะเป็นจิตประเภทที่ประกอบด้วยอริยมรรค
  • ๒. ชาติวิบาก ชื่อว่า โลกุตรวิบากจิต หรือ ผลจิต เพราะเป็นผลของโลกุตรกุศลจิต จึงมีจำนวน ๔ ดวงเหมือนกัน

จึงรวมเป็นโลกุตรจิต ๘ ดวง จำง่ายๆ ว่า มรรค คือ กุศล ผล คือ วิบาก ซึ่งมีความหมายว่า มัคคจิต เป็นชาติกุศล และผลจิต เป็นชาติวิบาก

👉ข้อควรสังเกต โลกุตรจิตนี้ มีแต่โลกุตรกุศล และโลกุตรวิบากเท่านั้นไม่มีโลกุตรกิริยาด้วยเลย ทั้งนี้ เพราะถ้ามีโลกุตรกิริยา ก็ย่อมหมายถึงโลกุตรกุศลที่เกิดขึ้นในสันดานของพระอรหันต์ ทำนองเดียวกับมหากุศล หรือมหัคคตกุศล ถ้าเกิดขึ้นในสันดานของพระอรหันต์ ที่ชื่อว่า มหากิริยา หรือมหัคคตกิริยา และทั้งมหากิริยาและมหัคคตกิริยานั้น ย่อมสามารถเกิดขึ้นได้บ่อยๆ ในสันดานของพระอรหันต์

แต่ส่วนมัคคจิตนั้น เกิดได้เพียงมรรคละครั้งเดียว คือ โสดาปัตติมรรค, สทาคามิมรรค, อนาคามิมรรค ตลอดจนอรหัตมรรค จะเกิดได้มรรคละครั้งเดียวเท่านั้น เพราะมัคคจิตนั้นเกิดขึ้นได้แต่ละครั้ง เพื่อกิจในการประหาณอนุสัยกิเลสให้เป็นสมุจเฉทปหาน เมื่อบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว ไม่มีกิเลสเหลืออยู่แม้แต่น้อย จึงไม่ต้องมีมัคคจิต เพื่อประหาณกิเลสอีก ฉะนั้น โลกุตรกิริยา จึงไม่มี

โลกุตรธรรม หมายถึง มัคคจิต ๔ ผลจิต ๔ และนิพพาน ๑ รวมสภาวะที่เป็นโลกุตรธรรม มี ๙ ประเภท โลกุตรจิต ๘ แม้เป็นโลกุตรธรรม แต่ยังเป็นสังขตธรรมอยู่ นิพพานเท่านั้นที่เป็นทั้งโลกุตรธรรม และอสังขตธรรมด้วย

🔅 โลกุตรกุศล หรือ มัคคจิต

โลกุตรกุศล มีความหมายเป็นหลายนัย คือ

  • นัยที่ ๑ โลกุตรกุศล หมายความว่า เป็นกุศลที่ทำให้ข้ามพ้นจากโลกทั้ง ๓ คือ กามโลก ได้แก่ กามภูมิ ๑๑, รูปโลก ได้แก่ รูปภูมิ ๑๖ และ อรูปโลก ได้แก่ อรูปภูมิ ๔
  • นัยที่ ๒ โลกุตรกุศล หมายความว่า เป็นกุศลที่ข้ามพ้นจากความเป็นปุถุชน สู่ความเป็นอริยบุคคล
  • นัยที่ ๓ โลกุตรกุศล หมายถึง กุศลจิตที่เกิดขึ้นรับ โลกุตรอารมณ์ คือ นิพพาน
  • นัยที่ ๔ โลกุตรกุศล หมายความว่า เป็นกุศลจิตที่มีอำนาจเหนือโลกียกุศลด้วยเหตุว่า ดับอกุศล หรือ ประหาณกิเลสให้เป็นสมุจเฉทปหาน

กุศลอันเป็นไปในภูมิทั้ง ๓ ที่ชื่อว่า โลกียกุศล นั้น ย่อมก่อ จุติ และปฏิสนธิ ทำให้สัตว์เจริญอยู่ในวัฏฏะ ฉะนั้น โลกียกุศล อันเป็นไปในภูมิทั้ง ๓ จึงชื่อว่าเป็น อาจยคามี หรือ วัฏฏคามินีกุศล แต่ในโลกุตรกุศลนั้น ย่อมเป็นไปโดยนัยที่ตรงกันข้าม คือ โลกุตรกุศลนี้ ย่อมรื้อทำลายจุติและปฏิสนธิแห่งสัตว์ที่โลกียกุศลก่อไว้แล้วโดยกระทำความบกพร่องแห่งปัจจัยธรรมที่เป็นเหตุให้เกิด โลกุตรกุศลนี้ชื่อว่า อปจยคามี หรือ วิวัฏฏคามินีกุศล

โลกุตรกุศลจิต หรือ มัคคจิตนี้ กล่าวโดยย่อ มีจำนวน ๔ ดวง คือ : -

๑. โสดาปัตติมัคคจิต เป็น มัคคจิต ดวงที่ ๑
๒. สกทาคามิมัคคจิต เป็น มัคคจิต ดวงที่ ๒
๓. อนาคามิมัคคจิต เป็น มัคคจิต ดวงที่ ๓
๔. อรหัตมัคคจิต เป็น มัคคจิต ดวงที่ ๔

อธิบาย
นัยที่ ๑
โลกุตรกุศล หมายถึง เป็นกุศลที่ข้ามพ้นจากโลกทั้ง ๓ นั้น คือ
- โสตาปัตติมัคคจิต กับ สกทาคามีมัดจิต ทำให้ข้ามพ้นจากกามโลกได้ ๔ ภูมิ คือ อบายภูมิ ๔
- อนาคามีมรรค ทำให้ข้ามพ้นจากกามโลกทั้งหมด คือ กามภูมิทั้ง ๑๑ ภูมิ
- อรหัตมัคคจิต ทำให้ข้ามพ้นจากโลกทั้ง ๓ คือ กามโลก, รูปโลก, อรูปโลก



นัยที่ ๒ โลกุตรกุศล หมายถึง กุศลที่ทำให้ข้ามพ้นจากความเป็นปุถุชนสู่ความเป็นอริยบุคคล คือ
    โสดาปัตติมัคคจิต ทำให้เป็น โสดาปัตติมัคบุคคล
    สกทาคามิมัคคจิต ทำให้เป็น สกทาคามิมัคบุคคล
    อนาคามิมัคคจิตทำให้เป็น อนาคามิมัคบุคคล   
    อรหัตมัคคจิต ทำให้เป็น อรหัตมัคบุคคล

นัยที่ ๓ โลกุตรกุศล หมายถึง จิตที่เกิดขึ้นรับโลกุตรอารมณ์ คือ พระนิพพานนั้น เพราะพระนิพพานเป็นอารัมมณปัจจัยให้แก่มัคคจิต ๔ กล่าวคือ โลกุตรกุศลจิต ๔ ดวงนี้ เกิดขึ้นได้ด้วยอำนาจของพระนิพพานเป็นปัจจัยเพราะพระนิพพานนั้นเป็นโลกุตรธรรม มัคคจิตทั้ง ๔ ดวงนี้ จึงเรียกว่า โลกุตรกุศล เพราะเป็นกุศลธรรมที่เกิดจากโลกุตรธรรม

นัยที่ ๔ โลกุตรกุศล หมายถึง กุศลจิตที่มีอำนาจดับอกุศล หรือประหาณกิเลสได้ เป็นสมุจเฉทปหาน


🔅 ลักษณะของการประหาณกิเลส

กิเลส คือ ธรรมที่เศร้าหมองเร่าร้อน ในพระอภิธรรมได้แบ่งกิเลสตามอาการ แสดงออกได้เป็น ๓ ชั้น คือ :-    ก. วีติกกมกิเลส หมายถึง กิเลสอย่างหยาบที่สามารถก่อให้เกิดการ เคลื่อนไหวออกมาทางกายทวาร หรือวจีทวารได้ เป็น ทุจริตกรรม กิเลสชนิดนี้ ประหาณได้ด้วยศีล เป็นการสงบระงับชั่วครั้งชั่วคราว ขณะที่ยังมีการรักษาศีลอยู่ การประหารกิเลสได้ชั่วขณะนี้ เรียกว่า ตหังคปหาน

ข. ปริยุฏฐานกิเลส หมายถึง กิเลสอย่างกลางที่เกิดอยู่ภายในมโนทวาร ไม่ถึงกับแสดงอาการล่วงออกมาทางกายทวารหรือวจีทวาร นิวรณ์กิเลสชนิดนี้ประหาณได้ด้วยสมาธิ คือฌาน ย่อมดับไว้หรือระงับไว้ได้ตามอำนาจของฌาน ได้นานตราบ เท่าที่ฌานยังไม่เสื่อม เรียกว่า วิกขัมภนปหาน

ค. อนุสัยกิเลส หมายถึงกิเลสอย่างละเอียดที่นอนเนื่องอยู่ในขันธสันดาน อันไม่มีใครอื่นที่สามารถจะรู้ได้ นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อนุสัยกิเลสชนิดนี้ต้อง ประหาณด้วยปัญญาในมัคคจิต และมัคคจิตนี้เอง ที่สามารถประหาณกิเลสได้หมดสิ้น สูญเชื้อ ไม่กลับมีขึ้นมาใหม่อีก เรียกการประหาณนี้ว่า “สมุจเฉทปหาน”

สรุปความว่า

วิติกกมกิเลส ต้องประหาณด้วยมหากุศลจิตที่เกี่ยวกับศีล เป็น ตทังคปหาน
ปริยุฏฐานกิเลส ต้องประหาณด้วยมหัคคตกุศลจิต เป็น วิกขัมภนปหาน   
อนุสัยกิเลส ต้องประหาณด้วยมัคคจิต เป็น สมุจเฉทปหาน


🔅 การประหาณกิเลสชนิดสมุจเฉทปหาน

กิเลส อันเป็นที่ยังจิตให้เศร้าหมองเร่าร้อนนี้ ย่อมเกิดพร้อมและประกอบด้วยอกุศลจิตเท่านั้น ฉะนั้นการประหาณกิเลสก็เท่ากับประหาณอกุศลจิตนั่นเอง ในพระอภิธัมมัตถสังคหะ แสดงอกุศลไว้ ๙ กอง คือ :-   

  • ๑. อาสวะ เป็นธรรมที่เป็นเครื่องหมักดองอกุศล มี ๔ อย่าง คือ :-
    - กามาสวะ ความยินดีใน รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ
    - ภวาสวะ ความยินดีในภพภูมิต่าง ๆ 
    - ทิฏฐาสวะ ความยินดีตามความเห็นผิด
    - อวิชชาสวะ ความยินดีในความไม่รู้ตามความเป็นจริง 
  • ๒. โอฆะ เป็นธรรมอันเปรียบเสมือนห้วงน้ำ อันยังสัตว์ทั้งหลายให้จมอยู่ใน สังสารวัฏ คือ :-
    - กาโมฆะ ความยินดีใน รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ
    - ภโวฆะ ความยินดีในอัตภาพและภพภูมิต่าง ๆ 
    - ทิฏโฐฆะ ความยินดีในความเห็นผิด
    - อวิชโชฆะ ความยินดีในความไม่รู้ตามความเป็นจริง 
  • ๓. โยคะ เป็นธรรมที่เป็นเครื่องประกอบสัตว์กับภพภูมิต่าง ๆ ไว้ มี ๔ คือ :-
    - กามโยคะ คือ ความยินดีในกามคุณอารมณ์ทั้ง ๕
    - ภวโยคะ คือ ความยินดีในภพภูมิต่าง ๆ
    - ทิฏฐิโยคะ คือ ความยินดีในความเห็นผิด
    - อวิชชาโยคะ คือ ความยินดีในความไม่รู้ตามความเป็นจริง 
  • ๔. คันถะ เป็นธรรมที่เป็นเครื่องผูกสัตว์ไว้ไม่ให้หลุดรอดพ้นไปจากโลกได้ มี ๔ คือ : -
    - อภิชฌากายคันถะ ได้แก่ ความโลภทั้งหลาย
    - พยาปาทกายคันถะ ได้แก่ ความโกรธทั้งหลาย
    - สีลัพตปรามาสกายคันถะ ได้แก่ ลูบคลำข้อปฏิบัติที่ผิด
    - อิทังสัจจาภินิเวสกายคันถะ ได้แก่ ยึดความเห็นผิดอย่างเหนียวแน่น 
  • ๕. อุปาทาน เป็นธรรมที่เป็นเครื่องยึดถือให้ผูกพันอยู่กับความเป็นไปในโลก มี ๔ คือ :-
    - กามุปาทาน ได้แก่ ความยึดถือติดอยู่กับภพและกามคุณอารมณ์
    - ทิฏฐุปาทาน ได้แก่ ยึดมั่นอยู่ในความเห็นผิด
    - อัตตวาทุปาทาน ได้แก่ ยืดความเห็นผิดว่ามีตัวตน 
    - สีลัพพัตตุปาทาน ได้แก่ ถือการปฏิบัติที่ผิด เพราะไม่รู้ข้อปฏิบัติอันไหนที่จะ นำให้พ้นทุกข์อย่างถูกต้อง
  • ๖. นิวรณ์ เป็นธรรมที่เป็นเครื่องกั้นความดี มี ๖ อย่าง คือ : -
    - กามฉันทนิวรณ์ ได้แก่ ความยินติดใจในกามคุณอารมณ์
    - พยาปาทนิวรณ์ ได้แก่ ความไม่พอใจในอารมณ์ต่าง ๆ
    - ถีนมิทธนิวรณ์ ได้แก่ ความที่จิตหดหู่ท้อถอยจากอารมณ์ต่าง ๆ
    - อุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์ ได้แก่ ความฟุ้งซ่านรำคาญใจในอารมณ์ต่าง ๆ
    - วิจิกิจฉานิวรณ์ ได้แก่ ความสงสัยลังเลใจ
    - อวิชชานิวรณ์ ได้แก่ ความไม่รู้ในสัจจธรรม
  • ๗. อนุสัย เป็นธรรมที่นอนเนื่องอยู่ในขันธสันดาน มี ๗ อย่าง คือ : -
    - กามราคานุสัย ได้แก่ ความยินดีในกามคุณอารมณ์
    - ทิฏฐานุสัย ได้แก่ ความเห็นผิด
    - ปฏิฆานุสัย ได้แก่ ความไม่พอใจในอารมณ์ต่าง ๆ
    - ภวราคานุสัย ได้แก่ ความยินดีในความเป็นอยู่แห่งภพ
    - มานานุสัย ได้แก่ ความอวดดื้อถือตัว
    - วิจิกิจฉานุสัย ได้แก่ ความลังเลสงสัยในสภาวธรรม
    - อวิชชานุสัย ได้แก่ ความไม่รู้ในสัจจธรรม
  • ๘. สัญโภญชน์ เป็นธรรมที่เป็นเครื่องร้อยรัดสัตว์ทั้งหลายไว้ในสังสารวัฏมี ๑๐ อย่าง คือ :-
    - กามราคสัญโญชน์ ได้แก่ ความยินดีในกามคุณอารมณ์
    - ภวราดสัญโญชน์ ได้แก่ ความยินดีในความเป็นอยู่แห่งภพ
    - มานสัญโญชน์ ได้แก่ ความอวดดื้อถือตัว
    - ทิฏฐิสัญโญชน์ ได้แก่ ความเห็นผิด
    - วิจิกิจฉาสัญโญชน์ ได้แก่ ความลังเลสงสัยในเหตุผลแห่งธรรม
    - สีลัพพัตตปรามาสสัญโญชน์ ได้แก่ ถือปฏิบัติที่ผิด คิดว่า พ้นทุกข์ได้
    - อิสสาสัญโญชน์ ได้แก่ ความไม่อยากให้คนอื่นดีกว่าตน
    - มัจฉริยสัญโญชน์ ได้แก่ ความหวงแหนในสมบัติของตน
    - ปฏิฆสัญโญชน์ ได้แก่ ความไม่ชอบใจในอารมณ์ต่าง ๆ
    - อวิชชาสัญโญชน์ ได้แก่ ความไม่รู้สัจธรรม
  • ๙. กิเลส เป็นธรรมที่เป็นเครื่องเศร้าหมอง มี ๑๐ อย่าง คือ
    - โลภกิเลส ได้แก่ ความโลภ
    - โทสกิเลส ได้แก่ ความโกรธ
    - โมหกิเลส ได้แก่ ความหลง
    - มานกิเลส ได้แก่ ความถือตน
    - ทิฏฐิกิเลส ได้แก่ ความเห็นผิด
    - วิจิกิจฉากิเลส ได้แก่ ความลังเลสงสัย
    - ถีนกิเลส ได้แก่ ความท้อถอย
    - อุทธัจจกิเลส ได้แก่ ความฟุ้งซ่าน
    - อหิริกกิเลส ได้แก่ ความไม่ละอายต่อบาปทุจริต
    - อโนตตัปปกิเลส ได้แก่ ความไม่กลัวต่อบาปทุจริต


🔅 
มัคคจิตทำลายอกุศล

มัคคจิต หรือ โลกุตรจิต ทำลายอกุศล ๙ กอง ดังนี้ คือ

โสดาปัตติมัคคจิต 
ทำลาย 
- อาสวะ ได้ ๑ คือ ทิฏฐาสวะ
- โอฆะ ได้ ๑ คือ ทิฏโฐฆะ
- โยคะ ได้ ๑ คือ ทิฏฐิโยคะ
- คันถะ ได้ ๒ คือ สีลัพพัตตปรามาส และ อิทังสัจจาภินิเวส
- อุปาทาน ได้ ๓ คือ ทิฏฐปาทาน, อัตตวาทุปาทาน, สีลัพพัตตุปาทาน
- นิวรณ์ ได้ ๒ คือ วิจิกิจฉานิวรณ์, กุกกุจจนิวรณ์
- อนุสัย ได้ ๒ คือ ทิฏฐานุสัย, วิจิกิจฉานุสัย
- สัญโญชน์ ได้ ๕ คือ ทิฏฐิสัญโญชน์, วิจิกิจฉาสัญโญชน์, อิสสาสัญโญชน์, มัจฉริยสัญโญชน์, สีลัพพัตตปรามาสสัญโญชน์
- กิเลส ได้ ๒ คือ มิจฉาทิฏฐิ, วิจิกิจฉา

สกทาคามิมัคคจิต หรือ มัคคจิตดวงที่ ๒ นั้น ทำลายอกุศลส่วนหยาบๆ ที่เหลือจากโสดาปัตติมัคคจิตได้ทำลายมาแล้ว และการทำลายอกุศลของสกทาคามิมัคคจิตนี้ เพียงแต่ทำลายอกุศลให้เบาบางลงเท่านั้น

อนาคามิมัคคจิต ทำลาย
- อาสวะ ได้ ๑ คือ กามาสวะ
- โอฆะ ได้ ๑ คือ กาโมฆะ
- คันถะ ได้ ๑ คือ พยาปาทกายคันถะ
- นิวรณ์ ได้ ๒ คือ กามฉันทนิวรณ์ และ พยาปาทนิวรณ์
- อนุสัย ได้ ๒ คือ กามราคานุสัย, ปฏิฆานุสัย
- สัญโญชน์ ได้ ๒ คือ กามราคสัญโญชน์ และ ปฏิฆสัญโญชน์
- กิเลส ได้ ๑ คือ โทสกิเลส

อรหัตมัคคจิต ทำลายอกุศลที่เหลือทั้งหมด ที่เป็นส่วนเหลือจากมรรคเบื้องต่ำทั้ง ๓ ยังไม่ได้ทำลาย


🔅 
การละอกุศลกรรมบถโดยล่าดับของมัคคจิต

ปาณาติปาต                โสดาปัตติมัคคจิตละได้โดยเด็ดขาด เป็นสมุจเฉทปหาน
อทินนาทาน                                                        "
กาเมสุมิจฉาจาร                                                  "
มุสาวาท                                                              "
มิจฉาทิฏฐิ                                                           "

อกุศลกรรมบถที่เหลือ สกทาคามิมัคคจิตละได้โดยกระทำให้เบาบางลงเป็นตนุกรปหาน

ปิสุณวาจา                   อนาคามิมัคคจิตละได้โดยเด็ดขาด เป็นสมุจเฉทปหาน
ผรุสวาจา                                                            "
พยาปาท                                                            "

สัมผัปปลาปะ              อรหัตมัคคจิตละได้โดยเด็ดขาด เป็นสมุจเฉทปหาน
อภิชฌา                                                            "


🔅 โลกุตรวิบาก หรือ ผลจิต

โลกุตรวิบากจิต หรือผลจิตนี้ เป็นจิตที่เป็นผลของโลกุตรกุศลจิตหรือมัคคจิตนั่นเอง กล่าวคือ เมื่อมัคคจิตเกิดขึ้นพร้อมกับการประหาณกิเลสไปแล้ว ผลจิตก็จะเกิดติดต่อขึ้นในทันทีโดยไม่มีระหว่างคั่น คือ ไม่มีจิตประเภทอื่นใดเกิดขึ้นมาแทรกแซงคั่นกลางไว้เลย เมื่อมัคคจิตเกิดและดับลงแล้ว ผลจิตก็เกิดทันที จึงเรียกมัคคจิตและผลจิตนี้ว่า เป็น อกาลิโก คือ เป็นเหตุให้ผลจิตเกิดขึ้นในปัจจุบันทันใดไม่ต้องรอเวลาแห่งการเกิดขึ้นของจิตเลย ผลจิตนี้จะต้องเกิดขึ้นทันทีที่มัคคจิตดับลงเพื่อเสวยผลเนื่องจากการประหาณกิเลสของมัคคจิตโดยเฉพาะ ๆ แต่ละประเภทของมรรคทั้ง ๔ ฉะนั้น โลกุตรวิบากจิตหรือผลจิตจึงมีจำนวน ๔ ดวง เท่ากันกับมัคคจิต คือ

๑. โสดาปัตติผลจิต
๒. สกทาคามิผลจิต
๓. อนาคามิผลจิต
๔. อรหัตผลจิต


🙏 อรรถแห่งโลกุตรจิต ๘ 🙏 

พระโสดาบัน

ต่อไปนี้จะได้แสดงความหมายของโลกุตรจิต โดยมัคคจิตและผลจิตไปตามลำดับ

๑. โสตาปตฺติมคฺคจิตฺต เมื่อแยกศัพท์ออกแล้วได้ ๔ ศัพท์ คือ โสต + อาปตฺติ + มคฺค + จิตฺต

  • โสต แปลว่า กระแสน้ำ หรือหมายถึงองค์มรรค ๘ ที่มีสภาพเหมือนกระแสน้ำ
  • อาปตฺติ แปลว่า เข้าถึงอริยมรรคครั้งแรก
  • มคฺด แปลว่า ทาง หมายถึง องค์มรรค ๘
  • จิตฺต แปลว่า จิต หมายถึง จิตที่ประกอบองค์มรรค ๘

รวมความแล้ว โสดาปัตติมัคคจิต มีอรรถว่า เป็นจิตที่ประกอบด้วยองค์มรรค ๘ ที่มีสภาพเหมือนกระแสน้ำที่ไหลเข้าสู่อริยมรรค หรือเข้าถึงพระนิพพานเป็นครั้งแรก มีพระบาลีแสดงว่า “สวติ สุนฺทตีติ โสโต” แปลโดยอรรถว่า กระแสน้ำชื่อว่า โสต เพราะเป็นผู้ไหลไปไม่ทวนกลับ ได้แก่ กระแสน้ำที่ไหลอยู่ในแม่น้ำ หรือ “โสโต วิยาตีติ = โสโต” อริยมรรค ๘ ชื่อว่า โสตะ เพราะเหมือนกระแสน้ำ “อาทิโต ปชฺชนํ = อาปตฺติ" การเข้าถึงอริยมรรคครั้งแรก ชื่อว่า อาปตฺติ “โสตสฺส อาปตฺติ = โสตาปตฺติ" การเข้าถึงอริยมรรคที่สภาพเหมือนกระแสน้ำ ของปุถุชนเป็นครั้งแรก ชื่อ “โสตาปตฺติ” 

“นิพฺพานตฺถิเกหิ มคฺคียตีติ = มคฺโค” ทางสายกลาง คือ องค์มรรค ๘ ที่ผู้ปรารถนานิพพานทั้งหลายควรได้แสวงหา ฉะนั้น ทางสายกลาง จึงชื่อว่า “มรรค” หรือ “กิเลเส มาเรนุโต คจฺฉตีติ = มคฺโค” ทางสายกลาง คือ องค์มรรค ๘ นี้ เป็นผู้ประหาณกิเลส และเป็นผู้เข้าถึงพระนิพพานทางสายกลางนี้ จึงชื่อว่า “มรรค

โสตาปตฺติ จ สา มคฺโค จาติ = โสตาปตฺติมคฺโค ทางสายกลาง คือ องค์มรรค ๘ เป็นผู้เข้าถึงอริยมรรค ที่มีสภาพเหมือนกระแสน้ำเป็นครั้งแรกด้วย และเป็นทางที่ควรแสวงหาด้วย จึงชื่อว่า “โสดาปัตติมรรค" ที่มีสภาพเหมือนกระแสน้ำเป็นครั้งแรกด้วย เป็นผู้ประหารกิเลส และเป็นผู้เข้าถึงพระนิพพานด้วย จึงชื่อว่า “โสดาปัตติมรรค"

โสตาปตฺติ มคฺเคน สมปยุตตํ จิตฺตนฺติ = โสตาปตฺติมคฺคจิตตํ จิตที่ประกอบกับองค์มรรค ๘ ซึ่งเป็นผู้เข้าถึงอริยมรรคที่มีสภาพเหมือนกระแสน้ำเป็นครั้งแรกด้วย เป็นทางที่ควรแสวงหาด้วย จึงชื่อว่า โสดาปัตติมรรค หรืออีกนัยหนึ่งจิตที่ประกอบกับองค์มรรค ๘ ซึ่งเป็นผู้เข้าถึงอริยมรรคที่มีสภาพเป็นกระแสน้ำเป็นครั้งแรกด้วย เป็นผู้ประหาณกิเลส และเป็นผู้เข้าถึงพระนิพพานด้วย ชื่อว่า “โสดาปัตติมัคคจิต”

เมื่อโสดาปัตติมัคคจิตเกิดขึ้น ย่อมสำเร็จกิจดังนี้ คือ

๑. โสดาปัตติมัคคจิต เกิดแก่บุคคลใด บุคคลนั้นชื่อว่าโสดาปัตติมรรคบุคคล
๒. โสดาปัตติมัคคจิต ทำให้พ้นจากกามภูมิในส่วนที่เป็นอบายภูมิ ๔ คือ นรก เปรต อสุรกาย และเดรัจฉาน
๓. โสดาปัตติมัคคจิต เกิดขึ้นพร้อมกับการประหาณกิเลสทำลายอกุศลจิต ๕ ดวง ไม่ให้เกิดขึ้นอีกต่อไป คือ โลภจิตที่มีทิฏฐิสัมปยุต ๔ ดวง และ โมหจิตที่มีวิจิกิจฉาสัมปยุต ๑ ดวง และนอกจากนั้น ยังให้กิเลสที่ประกอบในทิฏฐิคตวิปปยุตจิต ๔ ดวง และโทสมูลจิต ๒ ดวง เบาบางลง จนไม่อาจจะนำไปสู่อบายภูมิได้


๒.โสดาปัตติผลจิต
เป็นโลกุตรจิตดวงที่ ๒ เกิดขึ้นเพื่อเสวยสันติสุขที่โสดาปัตติมัคคจิตประหาณอนุสัยกิเลสลงแล้ว กล่าวคือ เมื่อโสดาปัตติมัคคจิตเกิดขึ้นประหาณอนุสัยกิเลสและดับไป ทันใดนั้น โสดาปัตติผลจิตก็จะเกิดขึ้นเสวยผลที่เป็นสันติสุขอันเกิดแต่โสดาปัตติมัคคจิตได้ประหาณอนุสัยกิเลสลงแล้ว

หรืออีกนัยหนึ่ง โสดาปัตติผลจิต ย่อมเกิดขึ้นได้ในโอกาสที่พระโสดาบันเข้าผลสมาบัติ เมื่อโสดาปัตติผลจิตเกิด ย่อมให้สำเร็จกิจดังนี้ คือ
    ๑) โสดาปัตติผลจิตเกิดขึ้นแก่บุคคลใด บุคคลนั้นได้ชื่อว่าโสดาปัตติผลบุคคล หรือที่เรียกว่า พระโสดาบัน หรือบางทีก็เรียกว่า “เสกขบุคคล” คือบุคคลที่ยังจะต้องศึกษาต่อไปอีก จนกว่าจะพ้นจากสภาวะที่ไม่ต้องศึกษาต่อไปอีกเป็นอเสกขบุคคล หรือ พระอรหันต์
    ๒) โสดาปัตติผลจิต ทำให้พ้นจากอบายภูมิโดยเด็ดขาด กล่าวคือพระโสดาบัน เมื่อจุติย่อมไม่ไปปฏิสนธิในอบายภูมิอีก เพราะได้ทำลายอกุศลกรรมที่เป็นตัวการนำไปสู่อบายได้อย่างเด็ดขาดแล้ว
    ๓)โสดาปัตติผลจิต ย่อมเกิดขึ้น เพื่อเสวยสันติสุขจากการประหาณทิฏฐิและวิจิกิจฉา ที่ละได้แล้วโดยเด็ดขาด

ประเภทของพระโสดาบัน พระพุทธองค์ทรงแสดงเทศนาจำแนกพระโสดาบันได้เป็น ๓ ประเภท โดยกำหนดภพชาติไว้เป็นที่แน่นอน คือ

๑. เอกพีซีโสดาบัน คือ พระโสดาที่มีชาติกำเนิดอีกชาติเดียว เอกํ พีชํ อสุสาติ = เอกพิซี เป็นพระโสดาบันที่จะต้องปฏิสนธิต่อไปอีกชาติเดียวก็จะบรรลุอรหัต แล้วก็จะเข้าปรินิพพานในชาตินั้น
๒. โกลังโกลโสดาบัน คือ พระโสดาบันผู้จะต้องมีพืชกำเนิดระหว่าง ๒-๖ ชาติ กุลโต กุลํ คจฺฉตีติ = โกล์โกโล เป็นพระโสดาบันที่จะต้องปฏิสนธิต่อไปอีกตั้งแต่ ๒ ถึง ๖ ชาติ เป็นอย่างมาก ก็จะบรรลุอรหัตผลแล้วจึงปรินิพพาน
๓. สัตตักขัตตุปรมโสดาบัน คือพระโสดาบันผู้ต้องมีพืชกำเนิดอีก ๗ ชาติ สตฺตกฺขตตุ ปรมํ อสุสาติ = สตฺตกฺขตตุปรโม เป็นพระโสดาบันที่จะต้องปฏิสนธิต่อไปอีกอย่างมากเพียง ๗ ชาติ ก็จะบรรลุอรหัตผลแล้วจึงปรินิพพาน

เหตุที่ทำให้พระโสดาบันบรรลุอรหัตผลต่างกัน การที่พระโสดาบันบรรลุอรหัตผลแตกต่างกันออกไปได้ ถึง ๓ ประเภทนั้นเพราะเหตุ ๒ ประการ คือ

  • ๑. ต่างกันด้วยกำลังแห่งอินทรีย์ ที่ได้สร้างสมอบรมมาแต่อดีต กล่าวคือ ถ้าในอดีตชาติได้อบรมอินทรีย์ คือ สัทธินทรีย์, วิริยินทรีย์, สตินทรีย์, สมาธินทรีย์และปัญญินทรีย์มาแล้วอย่างแก่กล้า ครั้นเมื่อได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน ก็จะเป็นเอกพิซีโสดาบัน ถ้าในอดีตชาติได้สร้างสมอบรมบารมีอินทรีย์มาปานกลางเมื่อบรรลุเป็นพระโสดาบัน ก็จะเป็น โกลังโกลโสดาบัน ถ้าในอดีตชาติได้สร้างสมอบรมบารมีอินทรีย์ไว้อย่างอ่อนเมื่อบรรลุเป็นพระโสดาบัน ก็จะเป็น สัตตักขัตตุปรมโสดาบัน
  • ๒. ต่างกันด้วยความมุ่งมั่นต่ออริยมรรคเบื้องบน ๓ กล่าวคือ ถ้าพระโสดาบันที่มีจิตมุ่งมั่นต่ออริยมรรคเบื้องบน ๓ ด้วยอุตสาหะ เพียรเจริญวิปัสสนา ด้วยกำลังเจตนาอันแรงกล้าก็เป็นเอกพีซีโสดาบัน ถ้าพระโสดาบันที่มีจิตมุ่งมั่นต่ออริยมรรคเบื้องบน ๓ ด้วยอุตสาหะ เพียรเจริญวิปัสสนาด้วยกำลังเจตนาอย่างปานกลาง ก็เป็นโกลังโกลโสดาบัน ถ้าพระโสดาบันมีจิตมุ่งมั่นต่ออริยมรรคเบื้องบน ๓ ด้วยอุตสาหะ เพียร เจริญวิปัสสนาด้วยกำลังเจตนาอย่างอ่อน ก็เป็น สัตตักขัตตุปรมโสดาบัน

พระโสดาบันที่กล่าวมาแล้วทั้ง ๓ ประเภทนี้ แม้จะแตกต่างกันด้วยการอบรมบารมีอินทรีย์ที่ยิ่งหย่อนกว่ากัน หรือแม้จะแตกต่างกันด้วยจิตที่มุ่งมั่นในอริยมรรคเบื้องบน และยิ่งหย่อนกว่ากันอย่างไรก็ตาม พระโสดาบันเหล่านั้น ก็จะไม่ต้องถือปฏิสนธิในภพชาติที่ ๘ อีก ดังปรากฏในสุตตนิบาตพระบาลีว่า "เย อริยสัจฺจาน วิภาวยนฺติ คมฺภีรปญฺเญน สุเทสิตานิ กิญฺจาปิ เต โหนฺติ ภุสปฺปมตฺตา น เต ภวํ อฏฺฐมมาทิยนฺติฯ" ชนเหล่าใดได้รู้แจ้งแทงตลอดอริยสัจ ๔ อันพระผู้มีพระภาคเจ้าแสดงไว้ดีแล้วนั้น ชนเหล่านั้น แม้ประมาทมากก็ไม่ถือเอาภพที่ ๘ คือจะเกิดได้อีกอย่างมากเพียง ๗ ชาติเท่านั้น ฉะนั้น พระอริยโสดาบันทั้ง ๓ ประเภทที่กล่าวนี้ พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงเทศนาการสิ้นสุดแห่งภพชาติไว้เป็นการแน่นอน

แต่ยังมีพระโสดาบันอีกประการหนึ่ง ที่ไม่นับรวมอยู่ในพระอริยโสดาบันประเภทที่กล่าวมานั้น พระอริยโสดาบันประเภทนี้ เรียกว่า "วัฏฏาภิรตโสดาบัน" เป็นพระอริยโสดาบันที่มีอัธยาศัยยังยินดีพอใจในวัฏฏะปรารถนาที่จะเที่ยวปฏิสนธิไปในเทวโลกทั้ง ๖ ชั้น ตลอดไปจนถึงอกนิฏฐภพ ดังปรากฏในบุคคลบัญญัติอรรถกถาว่า เอกจฺโจหิ โสตาปนฺโน วัฏฏชฺฌาสโย โหติ วุฎฏาภิรโต ปุนปฺปุนํ วัฏฺฏสมึเยว วิจรติ สนฺทิสฺสติ อนาถบิณฑิกเสฏฐิ วิสาขา อุปาฬิกา จูฬรตฺถ มหารตฺถ เทวปุตฺต อเนกวณฺโณ เทวปุตโต สกโก เทวราชา นาคทตฺโต เทวปุตโต อิเมหิ เอตตฺถาชนา วฎฺฏชฺฌาสยา วฎฺฏาภิรตา อาทิโต ปฏฐฺาย ฉ เทวโลกํ โสธิตฺวา อกนิฏฺเฐ จตวา ปรินิพฺพาเย สนฺติ อิเม อิเม น คหิตาฯ ยังมีพระโสดาบันบางจำพวก มีอัธยาศัยยินดีพอใจในวัฏฏะ ท่องเที่ยวไปปรากฏในวัฏฏะบ่อย ๆ ชนเหล่านั้น คือ อนาถบิณฑิกเศรษฐี วิสาขาอุบาสิกา จูฬรัตถเทพบุตร มหารัตถเทพบุตร อเนกวรรณเทพบุตร ท้าวสักกเทวราช นาคทัตตเทพบุตร ท่านเหล่านี้ยังมีอัธยาศัยยินดีพอใจในวัฏฏะ กระทำเทวโลกทั้ง ๖ ให้หมดจดตั้งแต่เริ่มต้น ก็จะดำรงอยู่ในอกนิฏฐภพ จึงจปรินิพพาน พระโสดาบันเหล่านี้ ท่านประมวลเข้าในสัตตักขัตตุปรมโสดาบัน

ฉะนั้น จึงมีข้อยกเว้นสำหรับวัฏฏภิรตโสดาบันว่า พระโสดาบันอาจถือปฏิสนธิมากกว่า ๗ ชาติก็ได้ แต่อีกมติหนึ่งว่า วัฏฏาภิรตโสดาบันนี้ หมายถึง พระโสดาบันที่ย่อมมีอายุขัยโดยตลอด จะไม่สิ้นชีวิตก่อนอายุขัย แต่จะไม่เกิน ๗ ชาติ


พระสกทาคามี

๓. สกทาคามิมคฺคจิตฺต
แยกศัพท์ออกได้ ๔ ศัพท์ คือ

สกึ (ครั้งเดียว) + อาคามี (กลับมา) + มคฺค (ทาง) + จิต แปลความว่า จิตที่จะกลับมาปฏิสนธิในมนุษยภูมิอีกเพียงครั้งเดียว ชื่อว่า “สกทาคามี” ดังบาลีที่แสดงไว้ในวิสุทธิมรรคมหาฎีกาว่า “สกึ เอกวาร์ ปฏิสนธิวเสน อิมํ มนุสฺสโลกํ อาคจฺฉตีติ” = สกทาคามี แปลความว่า พระอริยบุคคลส่วนมากที่จะกลับมาปฏิสนธิในมนุษย์ภูมิอีกเพียงครั้งเดียว ชื่อว่า สกทาคามี ตสฺส มคฺโค = สกทาคามิมคฺโคฯ ทางปฏิบัติของพระสกทาคามีนั้น ชื่อว่า สกทาคามิมรรค

เตน สมฺปยุตตํ จิตฺตํ = สกทาคามิมคฺคจิตตํ จิตที่ประกอบด้วยองค์ของสกทาคามิมรรค ชื่อว่า สกทาคามิมัคคจิต

เมื่อสกทาคามิมัคคจิตเกิดขึ้น ย่อมให้สำเร็จกิจดังนี้ คือ

  • สกทาคามิมัคคจิต เกิดขึ้นแก่บุคคลใด บุคคลนั้นชื่อว่า สกทาคามิมรรค
  • สกทาคามิมัคคจิต เกิดขึ้นพร้อมกับการประหาณกิเลส ที่เหลือจากโสดาปัตติมัคคจิตได้ประหาณมาแล้วโดยกระทำให้กิเลสเหล่านั้นเบาบางลงอีกเรียกว่า ตนุกรปหาน

๔. สกทาคามิผลจิต เป็นจิตที่เกิดขึ้นทันทีที่สกทาคามิมัคคจิตดับลง หรือเกิดขึ้นได้กับสกทาคามีที่เข้าผลสมาบัติ เมื่อสกทาคามิผลจิตปรากฏขึ้น ย่อมสำเร็จกิจ คือ

    ๑) สกทาคามิผลจิต เกิดขึ้นแก่บุคคลใดในขณะแรกทันที บุคคลนั้นได้ชื่อว่า “สกทาคามิผลบุคคล” สกทาคามิผลบุคคล ก็คือ ผู้ที่เรียกกันว่า พระสกทาคามี หรือบางทีก็เรียกว่า พระสกิทาคา พระอริยบุคคลในชั้นนี้ ยังเป็นเสกขบุคคล เพราะยังจะต้องศึกษาและปฏิบัติ เพื่อให้สำเร็จเป็นอรหันต์ต่อไป
    ๒) สกทาคามิผล เกิดขึ้นเพื่อเสวยผลที่สกทาคามิมัคคจิตได้ประหาณกิเลสชนิดตนุกรปหานแล้ว และเพื่อเสวยวิมุตติสุขขณะเข้าผลสมาบัติ

ประเภทของพระสกทาคามี ในวิสุทธิมรรคมหาฎีกา แสดงว่า พระสกทาคามีนั้น มี ๕ ประเภท คือ

    ๑) อิธ ปตฺวา อิธ ปรินิพพายีฯ สำเร็จเป็นพระสกทาคามีบุคคล ในมนุษยภูมิและบรรลุอรหัตผลในมนุษยภูมิชาติเดียวกัน
    ๒) ตตฺถ ปตฺวา ตตฺถ ปรินิพพายีฯ สำเร็จเป็นพระสกทาคามีบุคคล ในเทวโลกและบรรลุอรหัตผลในเทวภูมิชาติเดียวกัน
    ๓) อิธ ปตฺวา ตตฺถ ปรินิพพายีฯ เป็นพระสกทาคามีบุคคล ในมนุษยภูมิ แล้วจุติจากมนุษยภูมิไปปฏิสนธิในเทวภูมิ และบรรลุอรหัตผลในเทวภูมินั้น
    ๔) ตตฺถ ปตฺวา อิธ ปรินิพพายีฯ สำเร็จเป็นพระสกทาคามีบุคคลในเทวภูมิแล้วจุติจากเทวภูมิมาปฏิสนธิในมนุษยภูมิ และบรรลุอรหัตผลในมนุษยภูมินั้น
    ๕) อิธ ปตวา ตตฺถ นิพพฤติตฺวา อิธ ปรินิพพายีฯ สำเร็จเป็นพระสกทาคามีบุคคลในมนุษยภูมิแล้ว จุติจากมนุษยภูมิไปปฏิสนธิในเทวภูมิ แล้วจุติจากเทวภูมิกลับมาปฏิสนธิในมนุษยภูมิอีก และบรรลุอรหัตผลในมนุษยภูมินี้

พระสกทาคามีบุคคลประเภทที่ ๑ ถึงประเภทที่ ๔ เป็นนัยที่แสดงไว้โดยปริยาย ส่วนประเภทที่ ๕ เป็นนัยโดยตรง ตามพระบาลีในวิสุทธิมรรคมหาฎีกาว่า สกึ เอกวาร์ ปฏิสนฺธิวเสน อิมํ มนุสฺสโลกํ อาคจฺฉตีติ = สกทาคามี พระอริยบุคคลส่วนมากที่จะกลับมาปฏิสนธิในมนุษยภูมิอีกเพียงครั้งเดียวชื่อว่าพระสกทาคามี

พระอนาคามี

๕. อนาคามิมคฺคจิตฺต
เป็นมัคคจิตดวงที่ ๓ เกิดขึ้นเพื่อละกามราคะและพยาบาทไม่ให้เหลือ อนาคามิมคคจิตฺต เมื่อแยกศัพท์แล้ว ได้แก่ น (ไม่) + อาคามี (กลับมา) + มคฺค (ทาง) + จิตฺต (จิต) = มีความหมายว่า จิตที่ถึงซึ่งทางที่จะไม่กลับมาปฏิสนธิในกามภูมิอีก ชื่อว่า อนาคามี ดังมีวจนัตถะว่า ปฏิสนฺธิวเสน อิมํ กาเมธาตุํ น อาคจฺฉตีติ = อนาคามีฯ ผู้ที่จะไม่กลับมาปฏิสนธิในกามภูมิอีก ชื่อว่า อนาคามี ตสฺส มคฺโค = อนาคามิมคฺโคฯ ทางปฏิบัติของผู้บรรลุอนาคามีนั้น ชื่อว่า อนาคามิมรรค เตน สมุปยุตฺตํ จิตฺตํ = อนาคามิคฺคจิตตํฯ

จิตที่ประกอบด้วยองค์แห่งอนาคามิมรรคนั้น ชื่อว่า อนาคามิมัคคจิต เมื่ออนาคามิมัคคจิตปรากฏขึ้น ย่อมให้สำเร็จกิจดังนี้ คือ : -
    ๑) อนาคามิมัคคจิตเกิดขึ้น แก่บุคคลใด บุคคลนั้นชื่อว่า อนาคามิมรรคบุคคล
    ๒) อนาคามิมัคคจิตเกิดขึ้น เพื่อข้ามพ้นจากการกลับมาเกิดในกามโลกอีก และจะเกิดในพรหมโลกแน่นอน
    ๓) อนาคามิมัคคจิตเกิดขึ้น เพื่อประหาณกามราคะและพยาบาทโดยสิ้นเชิง

๖. อนาคามิผลจิตฺต เป็นผลจิตดวงที่ ๓ ซึ่งเกิดขึ้นในลำดับที่อนาคามิมัคคจิตดับลงทันที ไม่มีระหว่างคั่นเป็นอกาลิโก หรืออนาคามิผลจิตย่อมเกิดขึ้นในขณะที่พระอนาคามีเข้าผลสมาบัติ อนาคามิผลจิต เกิดขึ้นแก่บุคคลใด บุคคลนั้นชื่อว่า “อนาคามิผลบุคคล” หรือ “อนาคามี” ซึ่งก็ยังเป็นพระเสกขบุคคลอยู่ ยังจะต้องศึกษา คือ เจริญปัญญาต่อไปจนบรรลุอรหัตผล

อนาคามิผลจิต เป็นจิตที่โทสะและโลภะ ที่เกี่ยวกับกามราคะ ถูกประหาณแล้วโดยเด็ดขาด เป็นสมุจเฉทปหาน อนาคามิผลจิต จึงเป็นจิตที่พ้นจากกามโดยเด็ดขาด คือ พระอนาคามี เมื่อจุติแล้วจะไม่ปฏิสนธิในกามภูมิอีกเลย จะไปปฏิสนธิเป็นพรหมในรูปภูมิ หรืออรูปภูมิ ตามสมควรแก่การเจริญสมถภาวนาของอริยบุคคลผู้พ้นจากกาม

ประเภทของพระอนาคามี

ในวิสุทธิมรรคมหาฎีกา แสดงว่า พระอนาคามีบุคคล มี ๕ ประเภท คือ :
    
๑) อนุตรปรินิพฺพายี ได้แก่ พระอนาคามีบุคคลที่ปฏิสนธิในพรหมภูมิ ภูมิใดภูมิหนึ่ง แล้วบรรลุอรหัตผล และจะปรินิพพานภายในกึ่งแรกแห่งอายุขัยของภูมินั้นๆ
๒) อุปหลุจปรินิพฺพายี ได้แก่ พระอนาคามีบุคคลที่ปฏิสนธิในพรหมภูมิ ภูมิใดภูมิหนึ่ง แล้วบรรลุอรหัตผล และจะปรินิพพานภายในกึ่งหลังแห่งอายุขัยของภูมินั้นๆ
๓) อสงฺขารปรินิพฺพายี ได้แก่ พระอนาคามีบุคคลที่ปฏิสนธิในพรหมภูมิ ภูมิใดภูมิหนึ่ง แล้วบรรลุอรหัตผลได้สะดวกไม่ต้องใช้ความพยายามมากก็บรรลุได้
๔) สสงฺขารปรินิพฺพายี ได้แก่ พระอนาคามีบุคคลที่ปฏิสนธิในพรหมภูมิ ภูมิใดภูมิหนึ่งซึ่งบรรลุอรหัตผลได้โดยยากลำบาก จะต้องใช้ความพยายามอย่างแรงกล้า จึงจะบรรลุอรหัตผลได้
๕) อุทฺธโสต อกนิฏฐฺคามี ได้แก่ พระอนาคามีบุคคลที่ปฏิสนธิในสุทธาวาสภูมิเบื้องต่ำ ตั้งแต่อวิหาภูมิ แล้วจะจุติและปฏิสนธิในภูมิที่สูงขึ้นไปโดยลำดับ คือ อตัปปาภูมิ สุทัสสา สุทัสสี จนถึง อกนิฏฐาภูมิ และจะได้บรรลุอรหัตผลแล้วปรินิพพานในยอดภูมินั้น

๗. อรหตุตมคฺคจิตฺต เป็นมัคคจิตดวงที่ ๔ เมื่อพระอนาคามีได้เจริญวิปัสสนาให้ยิ่งขึ้นไปแล้ว อรหตุตมคฺคจิตฺต จะเกิดขึ้นเพื่อละรูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะและอวิชชา ไม่ให้มีเหลือ อรหตุตมคฺคจิตฺต เมื่อแยกศัพท์แล้ว ได้แก่ อรหตุต (ผู้ควรบูชาอย่างยิ่ง) + มคฺค (ทาง) + จิตฺต (จิต) รวมความว่า เป็นจิตถึงซึ่งทางที่เป็นผู้ควรแก่การบูชาอย่างยิ่ง ดังปรากฏวจนัตถะว่า

๑) อคฺคทักขิเณยุยภาเวน ปูชาวิเสสํ อรหีติอรหาฯ พระอริยบุคคลผู้ควรแก่การบูชาของเทพยดา และมนุษย์ทั้งหลาย เพราะเป็นผู้ควรแก่ทักษิณาอันเลิศนั้น จึงชื่อว่า อรหันต์
๒) ตสฺส ภาโว อรหตฺตํ จตุตฺถผลสุสเสตํ อธิวจนํฯ ความเป็นอริยบุคคลผู้ควรแก่การบูชาอันวิเศษ ชื่อว่า อรหัต หมายถึง อรหัตผล
๓) ตสฺส อาคมนภูโต มคฺค อรหตุตมคฺโคฯ ทางอันเป็นที่มาแห่งอรหัตผลนั้น ชื่อว่า “อรหัตมัค
๔) เตน สมฺปยุตตํ อรหตุตมคฺคจิตตํฯ จิตที่ประกอบด้วยองค์แห่งอรหัตมัค ชื่อว่า “อรหัตมัคคจิต”

เมื่ออรหัตมัคคจิตปรากฏขึ้น ย่อมให้สำเร็จการงาน ดังนี้ คือ

- อรหัตมัคคจิต เกิดขึ้นแก่บุคคลใด บุคคลนั้น ชื่อว่า "อรหัตมัคคบุคคล"
- อรหัตมัคคจิต เป็นจิตที่กำลังข้ามพ้นรูปโลก อรูปโลก โดยเด็ดขาด
- อรหัตมัคคจิต เป็นจิตที่กำลังประหาณกิเลส กล่าวโดยจิต ก็เป็นการกำลังประหานอกุศลจิต ที่เหลือจากอริยมัคจิตเบื้องต่ำได้ประหาณแล้ว คงเหลืออีก๕ ดวง คือ โลภมูลจิตที่เป็นทิฏฐิวิปปยุต ๔ โมหมูลจิต ที่เป็นอุทธัจจสัมปยุต ๑ ดวง, กล่าวโดยอกุศลกรรมบถ ๑๐ อรหัตมัคคจิตเป็นจิตที่กำลังประมาณอกุศลกรรมบถที่เหลืออีก ๒ คือ สัมผัปปลาปะ และอภิชฌา

๘. อรหตุตผลจิตฺต เป็นผลจิตดวงที่ ๔ และเป็นโลกุตรจิตดวงสุดท้ายที่เกิดขึ้นทันทีที่อรหัตมัคคจิตดับลง โดยไม่มีจิตอื่นมาคั่น หรืออีกนัยหนึ่ง อรหัตผลจิตย่อมเกิดขึ้นในขณะที่พระอรหันต์เข้าผลสมาบัติ

เมื่ออรหัตผลจิตเกิดขึ้นแก่ผู้ใด บุคคลนั้น ได้ชื่อว่า "อรหัตตผลบุคคล" อรหัตผลจิต เป็นจิตที่พ้นจากความขัดข้องอยู่ในโลกใด ๆ กล่าวคือ พระอรหันต์เมื่อปรินิพพานแล้ว ไม่ต้องไปปฏิสนธิที่ไหนอีกเลย เป็นการสิ้นภพสิ้นชาติ พ้นจากสังสารวัฏ อันไม่ต้องท่องเที่ยวเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพน้อย-ภพใหญ่อีกต่อไป อรหัตผลจิตเป็นจิตที่อกุศลถูกประหาณสิ้นแล้วโดยเด็ดขาดเป็นสมุจเฉทปหาณหรือกล่าวได้ว่า พระอรหันต์ต้องไม่มีอกุศลจิตทั้ง ๑๒ ดวงเกิดขึ้นได้ในสันดานอีกเลย และ อรหัตผลจิต เป็นจิตที่อกุศลกรรมบถถูกประหาณสิ้นแล้วโดยเด็ดขาด เป็นสมุจเฉทปหาน หรือกล่าวได้ว่า พระอรหันต์นั้นไม่มีอกุศลกรรมบถ ๑๐ เกิดขึ้นในสันดานได้อีกเลย

พระอรหันต์

อรหัตผลจิต เกิดขึ้นแก่บุคคลใด บุคคลนั้น ชื่อว่า อรหัตผลบุคคล และอรหัตผลบุคคลนี้ มีชื่อเรียกหลายอย่าง คือ

พระอรหันต์ หมายถึง บุคคลผู้ควรเคารพสักการะบูชายิ่ง ดังพระบาลีว่า ปูชาทิวิเสสํ อรหตีติ = อรหํ
พระขีณาสพ หมายถึง บุคคลผู้สิ้นกิเลสาสวะโดยสิ้นเชิง
พระเสกขบุคคล หมายถึง ผู้ไม่ต้องศึกษาต่อไปอีกแล้ว (เพราะบริบูรณ์แล้วด้วยศีลสิกขา จิตตสิกขา และปัญญาสิกขา) ดังพระบาลีในพระธรรมสังคณีปกรณ์ที่แสดงว่า อุปรสิกฺขิตฺตพฺพา ภาวโต น เสกฺชาติ = อเสกขา บุคคลเหล่าใด ไม่ใช่เสกขบุคคล เพราะไม่มีธรรมที่จะต้องปฏิบัติต่อไป ฉะนั้นบุคคลนั้น ชื่อว่า "อเสกข"

ประเภทของพระอรหันต์

พระอรหันต์นั้น จำแนกออกเป็นประเภทต่างๆ ได้หลายประเภท ที่จำแนกเป็น ๒ ประเภท คือ : -

๑. พระอรหันต์ ที่สำเร็จโดย ปัญญาวิมุตติ  หมายถึง พระอรหันต์ที่สำเร็จด้วยการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาล้วนๆ ไม่ได้ปฏิบัติสมถภาวนา คือ ไม่ได้ทำฌานเลย และเมื่อมรรคผลเกิดขึ้น ก็ไม่มีอารัมมนูปนิชฌานเกิดขึ้นด้วย พระอรหันต์ผู้ที่ไม่ได้ฌานนี้ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สุขวิปัสสกพระอรหันต์

๒. พระอรหันต์ ที่สำเร็จโดย เจโตวิมุตติ หมายถึง พระอรหันต์ที่สำเร็จด้วยวิปัสสนาภาวนาพร้อมสำเร็จสมถภาวนาจนได้ฌานด้วย และการได้มาซึ่งฌาน อาจได้มา ๒ วิธีด้วยกัน คือ :-

  • ก. ฌาน อาจได้มาด้วยการปฏิบัติสมถภาวนาจนสำเร็จฌาน เรียกการได้ฌานโดยวิธีนี้ว่า “ปฏิปทาสิทธิฌาน” คือได้ฌานจากการปฏิบัติสมถภาวนาแล้ว จึงยกฌานขึ้นมาเจริญวิปัสสนา จนกระทั่งบรรลุเป็นพระอรหันต์
  • ข. ฌาน อาจได้มาแม้ไม่ได้ปฏิบัติสมถภาวนา แต่เมื่อได้เจริญวิปัสสนาภาวนาตามลำดับ จนบรรลุอรหัตมรรค อรหัตผล และขณะเมื่อได้มรรคผลนั้น อารัมมนูปฌานก็เกิดขึ้นพร้อมกัน ด้วยอำนาจแห่งบุญญาธิการแต่ปางก่อน ฌานที่เกิดขึ้นพร้อมนี้ เรียกว่า “มัคคสิทธิฌาน” คือได้ฌานด้วยอำนาจแห่งมรรค และฌานประเภทนี้ อาจได้อภิญญาด้วยก็มี เช่น พระจูฬปันถก เมื่อสำเร็จเป็นพระอรหันต์ก็ได้อภิญญา แล้วได้แสดงอิทธิปาฏิหาริย์

พระอรหันต์ประเภทเจโตวิมุตตินี้ เป็นผู้ที่สำเร็จฌานด้วย เรียกว่า พระอรหันต์ฌานลาภีบุคคล และพระอรหันต์ฌานลาภบุคคลนี้ บางองค์ไม่ได้อภิญญาด้วยก็มี แต่บางองค์ได้อภิญญาด้วยก็มี พระอรหันต์ฌานลาภีบุคคลที่ได้อภิญญาด้วยนั้น ความสามารถในการสำเร็จอภิญญายังต่างกันก็มี คือบางองค์ได้เพียงอภิญญา ๓ บางองค์ก็ได้ถึงอภิญญา ๖

อภิญญา ๓” หรือที่เรียกว่า “วิชชา ๓” นั้น ได้แก่

    ๑. บุพเพนิวาสานุสติญาณ มีปัญญาที่ระลึกชาติในอดีตได้
    ๒. ทิพยจักขุญาณ หรือ จุตูปปาตญาณ มีตาทิพย์ หรือ รู้จุติ และ ปฏิสนธิของสัตว์ทั้งหลาย
    ๓. อาสวักขยญาณ มีปัญญารู้วิชาที่ทำให้สิ้นอาสวะกิเลส

สุกขวิปัสสกพระอรหันต์ หรือฌานลาภีพระอรหันต์ที่ได้อภิญญา หรือไม่ได้อภิญญาด้วยก็ตาม เมื่อสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว ต้องมีอภิญญาข้อที่ ๓ นี้ด้วยกันทุกองค์

"อภิญญา ๖" หรือ "วิชชา ๖" นั้น ได้แก่ อภิญญา ๓ หรือ วิชชา ๓ นั่นเอง และมีความรู้เพิ่มขึ้นอีก ๓ ประการ คือ

    ๔. ปรจิตตวิชานน หรือ เจโตปริยญาณ คือมีความรู้ซึ้งถึงจิตใจผู้อื่น
    ๕. ทิพโสตญาณ มีหูทิพย์
    ๖. อิทธิวิธ สามารถสำแดงฤทธิ์เดชได้


พระอรหันต์ที่จำแนกเป็น ๒ ประเภทอีกนัยหนึ่ง การจำแนกพระอรหันต์เป็น ๒ ประเภทตามนัยนี้ คือ

๑. พระอรหันต์ ผู้มีปฏิสัมภิทาญาณ คือ ถึงพร้อมด้วยความรู้อันแตกฉานในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รอบรู้อรรถ รู้ธรรมต่าง ๆ
๒. พระอรหันต์ ผู้ไม่มีปฏิสัมภิทาญาณ

ปฏิสัมภิทาญาณ มี ๔ ประการ คือ

        ๑.๑. อตฺถปฏิสัมภิทาญาณ คือ ปัญญาแตกฉานในผลทั้งปวง อันบังเกิดจากเหตุอตฺถ หมายถึง ผล ได้แก่ ธรรม ๕ ประการ คือ : -

  • ๑) ยํกิญฺจิ ปจฺจยสมฺภูตํ คือ รูปธรรมทั้งปวงที่เกิดขึ้น มีปัจจัยประชุมปรุงแต่ง
  • ๒. นิพฺพานํ คือ พระนิพพาน
  • ๓. ภาสิตตฺโถ คือ อรรถที่กล่าวแก้ให้รู้วิบากขันธ์ ๓๒ ดวง
  • ๔. กฺริยจิตฺตํ คือ กิริยาจิต ๒๐ ดวง
  • ๕. ผลจิตฺตํ คือ ผลจิต ๔ ดวง

        ๑.๒. ธมฺมปฏิสมฺภิทาญาณ คือ ปัญญาแตกฉานในเหตุที่ทำให้บังเกิดผล ธมฺม หมายถึงเหตุ ได้แก่ธรรม ๕ ประการ คือ : -

  • ๑. โย โกจิ ผลนิพฺพตฺตโก เหตุ คือ เหตุทั้งปวงบรรดาที่ยังผลให้เกิดขึ้น
  • ๒. อริยมคุโค คือ มัคคจิตทั้ง ๔ ดวง
  • ๓. ภาสิตํ คือ พระธรรมทั้ง ๓ ปิฎก
  • ๔. กุสลจิตฺตํ คือ โลกียกุศลจิต ๑๗ ดวง
  • ๕. อกุสลจิตฺตํ คือ อกุศลจิต ๑๒ ดวง

        ๑.๓. นิรุตติปฏิสมภิทาญาณ คือ แตกฉานในภาษาอันเป็นบัญญัติที่เนื่องด้วยหมายความว่า ในการอธิบายขยายความแห่งอัตถปฏิสัมภิทาและธรรมปฏิสัมภิทา ให้ผู้สดับตรับฟังรู้และเข้าใจได้แจ่มแจ้งลึกซึ้งโดยอัตถปฏิสัมภิทาและธรรมปฏิสัมภิทาถูกต้องและถี่ถ้วนจำเป็นต้องรู้จักใช้ถ้อยคำหรือภาษาอันเป็นบัญญัติที่เรียกว่า รู้จักใช้โวหาร เช่นนี้ ชื่อว่า นิรุตติปฏิสัมภิทา

        ๑.๔. ปฏิภาณปฏิสมภิทาญาณ คือ ปัญญาแตกฉานในปฏิสัมภิทาเบื้องต้นทั้ง ๓ หมายความว่า มีปัญญาว่องไวเฉียบแหลมคมคาย ไหวพริบดีในการโต้ตอบอัตถปฏิสัมภิทา ธรรมปฏิสัมภิทา และนิรุตติปฏิสัมภิทา ทั้ง ๓ นั้น ได้อย่างถูกต้องคล่องแคล่ว ชัดแจ้งความรู้แตกฉาน เช่นนี้ เรียกว่า ปฏิภาณปฏิสัมภิทาญาณ

พระอรหันต์ที่จำแนกออกเป็น ๓ ประเภท จำแนกได้ดังนี้ คือ : -

๑. พระอรหันต์ที่ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณด้วยพระองค์เอง และสามารถโปรดเวไนยสัตว์ให้พ้นทุกข์ได้โดยแนะให้ถึงอริยมรรค อริยผลได้ เพราะทรงเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยญาณ อันเป็นเครื่องโปรดสัตว์ ๓ ประการ คือ : -

  • ก. อาสยานุสยญาณ คือ ญาณที่สามารถหยั่งรู้อนุสัยกิเลส และ อัธยาศัยของเวไนยสัตว์ทั้งหลาย
  • ข. อินฺทฺริยปโรปริยตฺติญาณ คือ ญาณที่สามารถรู้อินทรีย์ของสัตว์ทั้งหลายว่ายิ่งหรือหย่อนเพียงใด
  • ค. สพฺพญฺญุตฺญาณ คือ ญาณที่สามารถรอบรู้สังขตธรรมและอสังขตธรรม รวมทั้งบัญญัติธรรมสิ้นทั้งปวง พระอรหันต์ประเภทนี้ จึงได้ชื่อว่า พระสัพพัญญูพุทธเจ้า หรือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

๒. พระอรหันต์ที่ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองเหมือนกัน แต่ไม่สามารถบัญญัติพระธรรมโปรดเวไนยสัตว์ทั้งหลายให้พ้นทุกข์ได้ เพราะไม่ถึงพร้อมด้วยญาณอันเป็นเครื่องโปรดสัตว์ ๓ ประการ ดังกล่าวแล้วในข้อ ๑ พระอรหันต์ประเภทนี้ได้ชื่อว่า พระอรหันตปัจเจกพุทธเจ้า หรือพระปัจเจกพุทธเจ้า

๓. พระอรหันต์ที่ตรัสรู้ธรรม สำเร็จอรหัตผล ตามคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ก็ได้ชื่อว่า “พระอรหันต์” ซึ่งได้แก่ พระอรหันต์ทั่ว ๆ ไป ที่นอกจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอรหันต์ปัจเจกพุทธเจ้า เรียกว่า อรหันตสาวก, สุตพุทธ, อนุพุทธ

อรหันตสาวก มี ๓ ประเภท คือ : -

  • ๑. ปกติสาวก หมายถึง สาวกที่บรรลุอริยสัจจะสิ้นอาสวกิเลสแล้วโดยทั่วไป
    ๒. มหาสาวก หมายถึง พระอรหันต์ที่เป็นสาวกผู้ใหญ่ใกล้ชิดกับพระศาสดาได้รับยกย่อง (เอตทัคคะ) เป็นพิเศษ ๔๑ องค์ อีก ๓๙ องค์ ไม่ได้รับยกย่อง รวม ๘๐ องค์
    ๓. อัคคสาวก หมายถึง สาวกที่เป็นยอดสูงสุด อยู่เบื้องขวา และเบื้องซ้ายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้แก่พระสารีบุตร (เบื้องขวา) และพระโมคคัลลาน์ (เบื้องซ้าย)









แสงธรรมนำทาง...

สคริปเก่า