บทความ

กำลังแสดงโพสต์ที่มีป้ายกำกับ พุทธธรรม

๓.๘ นิพพานสุข และบทลงท้าย

รูปภาพ
ความสุขนั้นไม่จำเป็นต้องหมายเอาเฉพาะสุขเวทนาอย่างเดียวเท่านั้น ในที่ใดๆ ภาวะใดๆ มีความสุข ก็ย่อมบัญญัติภาวะนั้นๆเข้าเป็นความสุข ความสุขสูงสุดตามหลักพระพุทธศาสนา ก็คือ “นิพพานัง ปรมัง สุขัง” นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง หรือเป็นความสุขที่สูงสุด โดยมีลักษณะที่พอจะปรากฏออกมาให้พูดถึงได้ ก็คือ เป็นสุขตลอดเวลา : ไม่ต้องหา เป็นคุณสมบัติประจำของชีวิต มีอยู่กับตัว เป็นสุขอิสระ : ไม่ต้องพึ่งพา ไม่ขึ้นต่ออะไรๆ ตรงข้ามกับกามสุขที่เป็นสุขแบบพึ่งพาอาศัยสิ่งเสพอย่างเต็มที่ เป็นสุขล้วน : บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่มีทุกข์แฝงหรือค้างคาเหลืออยู่เลย เมื่อมองที่ตัวสภาวะตามกฏไตรลักษณ์ (มองขั้นปรมัตถสัจจะ) สุขที่ยังเป็นเวทนา หรือสุขที่ยังอาศัยการเสวยอารมณ์ ล้วนเป็นทุกข์ทั้งสิ้น เพราะสุขเวทนาเป็นสังขารธรรม จึงย่อมมีความสิ้น สลาย จางหาย แปรปรวนไปได้เป็นธรรมดา ดังทรงแสดงในพระสูตร “พระผู้มีพระภาคตรัสเวทนาไว้ ๓ ประการ คือ ๑. สุขเวทนา  ๒. ทุกขเวทนา ๓. อทุกขมสุขเวทนา … พระดำรัสที่ว่า ‘ความเสวยอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งนั้นเป็นทุกข์’ นั้น พระผู้มีพระภาคตรัสหมายถึงอะไร” “ดีละ ดีละ ภิกษุ เรากล่าวเวทนาไว้ ๓ ประการนี้ คือ ๑. ...

๓.๗ ข้อบกพร่องของฌานสุข

รูปภาพ
ภาวะในฌานยังไม่โปร่งโล่งเต็มที่ มีความคับแคบด้วยสัญญาและองค์ธรรมอื่นๆที่เนื่องอยู่ในฌานนั้นๆ ยังมีความคำนึงด้วยสัญญาเกี่ยวกับฌานชั้นต่ำกว่าฟุ้งขึ้นมาในใจได้ ถึงแม้จะจัดเป็นนิรามิสสุข แต่ก็เป็นภาวะปรุงแต่งถูกปัจจัยทางจิตสรรสร้างขึ้นมา ไม่เที่ยงแท้ จะต้องดับไปตามสภาวะ ลักษณะสำคัญอีกอย่างหนึ่งของฌานสุข คือ ยังเป็นสุขระดับเวทนา หมายความว่า เป็นสุขที่เกิดจากการเสวยอารมณ์ หรือเสพรสอารมณ์ ซึ่งในแง่นี้เหมือนกับกามสุข คือเป็นสุขเวทนา ส่วนข้อดีที่สำคัญของฌานสุข นอกจากความสุขที่ดื่มด่ำกว่ากามสุขแล้ว ฌานสุขยังเป็นสุขที่ไม่มีความเบียดเบียน เพราะเป็นการเสพอารมณ์ภายใน ไม่ต้องอิงอาศัยอารมณ์ภายนอก (อามิส) จึงจัดฌานสุขเป็นนิรามิสสุข ส่วนนิพพานเป็นยอดแห่งนิรามิสสุข “ภิกษุทั้งหลาย ถ้านักบวชลัทธิอื่นกล่าวหาว่า สมณะศากยบุตรประกอบตนให้ชุ่มด้วยความสุข พึงถามว่าประกอบแบบไหน เพราะมีอยู่มากด้วยกัน คือ บางคนฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ พูดปด บำเรอตนด้วยกามคุณ อย่างนี้ชื่อว่าประกอบตนให้ชุ่มด้วยความสุขแบบชาวบ้าน ซึ่งไม่เป็นไปเพื่อนิพพาน การประกอบตนให้ชุ่มด้วยความสุข ที่เป็นไปเพื่อนิพพาน ได้แก่ ความสุขในฌาน ๔ ถ้านักบวชลัทธิอื...

๓.๖ ข้อเสีย หรือจุดบกพร่องของกามสุข

รูปภาพ
ความเอร็ดอร่อยสนุกสนานหวานชื่นที่คนปรารถนา กามอำนวยให้เพียงชั่วครู่ยามในเวลาที่เสพ ไม่มีความจิรังยั่งยืน ไม่ให้ความสุขที่เต็มอิ่มแท้จริง เมื่อเสพนานเข้าก็เกิดความเบื่อหน่าย ต้องเปลี่ยนอารมณ์อยู่เรื่อยๆ ดังพุทธพจน์ “ความอิ่มด้วยกามทั้งหลาย ไม่มีในโลก” (รัฐปาลสูตร) ในเวลาที่ไม่ได้เสพ รวมถึงเมื่อกามสุขจางคลายหายลับล่วงผ่านไปแล้ว กลับเหลือความเจ็บปวดชอกช้ำ เสียดายหวนหาอาลัยทุกข์ทรมานประทับลงอย่างแน่นแฟ้น ความลำบากทุกข์ยากในการแสวงหา ระวังรักษากามวัตถุไว้เสพเสวย ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดการวิวาท แย่งชิง จนไปถึงสงครามเข่นฆ่ากัน ครั้นประกอบการทุจริตแล้ว ตายไปก็ยังได้รับโทษ คือ ความทรมานในอบาย ทั้งนี้ก็เพราะสาเหตุจากกาม ในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา คำว่า “กาม” โดยปกติจะใช้ในความหมายกว้าง คือหมายถึง ความอยากในสิ่งเสพทางประสาทสัมผัสทางกาย ๕ ประกอบด้วย รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ไม่ได้ใช้ในความหมายแคบดังที่ใช้ใน ศีล ๕ ข้อ ๓ อันเจาะจงเฉพาะการเสพเมถุน ท่านที่บรรลุความสุขประณีตอย่างสูงแล้ว หลายท่านก็ยังดำเนินชีวิตโดยเสพเสวยสุขควบกันไปทั้งสองอย่าง (เสพเสวยกามอย่างรู้เท่าทัน ปฏิบัติต่อกามคุณอย่างถูกต้อง) จึงม...

๓.๕ ระดับขั้นของความสุข

รูปภาพ
ความสุขมีความสำคัญมากในการปฏิบัติธรรมตามหลักพระพุทธศาสนา กล่าวได้ว่า พุทธจริยธรรมไม่แยกต่างหากจากความสุข เริ่มแต่ขั้นต้น ในการทำความดีหรือกรรมดีทั่วๆไป ที่เรียกว่าบุญ ก็มีพุทธพจน์ตรัสว่า “บุญเป็นชื่อของความสุข” (ปุญญวิปากสูตร) ในการเจริญภาวนา บำเพ็ญเพียรทางจิต ความสุขก็เป็นปทัฏฐานให้เกิดสมาธิ แม้ฌานในระดับสูง ไม่มีสุขเป็นองค์ฌาน ก็พึงเข้าใจว่าเป็นความสุขที่ประณีตยิ่งขึ้นไปอีก จุดหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา คือ นิพพาน เป็นบรมสุข คือ สุขสูงสุด ก็พึงบรรลุได้ด้วยข้อปฏิบัติที่มีความสุข มิใช่บรรลุด้วยข้อปฏิบัติที่เป็นทุกข์ (หมายถึง ทุกรกิริยา, ไม่พึงสับสนกับ ทุกขาปฏิปทา ซึ่งคำว่าทุกข์ในที่นั้น หมายถึง ปฏิบัติด้วยความยากลำบาก) ระดับขั้นของความสุข แนวที่ ๑ : แบ่งออกเป็น ๑๐ ขั้น ๓ ระดับ ระดับที่ ๑. กามสุข (ขั้นที่ ๑)  กามสุข แปลว่า ความสุขทางประสาทสัมผัสทั้ง ๕ (เรียกว่า สามิสสุข, อามิสสุข ตรงข้ามกับ นิรามิสสุข คือ สุขที่ไม่ต้องอาศัยกาม) ระดับที่ ๒. ฌานสุข (ขั้นที่ ๒-๙)  ได้แก่ รูปฌาน ๔, อรูปฌาน ๔ จัดเป็นเป็นนิรามิสสุข ภาวะในฌาน ท่านเรียกว่าเป็นนิพพานได้โดยปริยาย คือ เทียบคล้ายในบา...

๓.๔ พุทธศาสนา คือ ระบบการพัฒนาความสุข

รูปภาพ
“คนมีปัญญา ถึงเผชิญอยู่กับความทุกข์ ก็ไม่ยอมสิ้นหวังที่จะได้ประสบความสุข” (มหาชนกชาดก) “ความเสื่อมจากญาติ ทรัพย์ ยศ ยังนับว่าเป็นความเสื่อมเพียงเล็กน้อย ภิกษุทั้งหลาย ความเสื่อมที่นับว่าเลวร้ายยิ่งกว่าความเสื่อมทั้งหลาย คือความเสื่อมจากปัญญา “ความเจริญด้วยญาติ ทรัพย์ ยศ ยังนับว่าเป็นความเจริญเพียงเล็กน้อย ภิกษุทั้งหลาย ความเจริญที่เรากล่าวว่าเป็นยอด คือความเจริญด้วยปัญญา เพราะเหตุนั้นแล ท่านทั้งหลายพึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักเป็นผู้เจริญด้วยปัญญา” (กัลยาณมิตตาทิวรรค)           ความสุขมีมากมาย หลายขั้น หลายระดับ และความสุขนั้นพัฒนาได้ ทุกคนจึงควรพัฒนาขึ้นไป จนกว่าจะถึงความสุขที่ดีเลิศยอดเยี่ยมที่สุด เมื่อพูดถึงความสุขระดับต่างๆ พึงพิจารณาดูว่า ความสุขอย่างนี้มีข้อดีอย่างไร (อัสสาทะ) มีข้อเสียอย่างไร (อาทีนวะ) และในเมื่อมันยังไม่สมบูรณ์ เราจะมีทางพัฒนาให้พ้นไปจากสภาพที่ไม่สมบูรณ์อย่างไร (นิสสรณะ) ซึ่ง ลักษณะสำคัญของความสุขที่พัฒนาสูงขึ้นไปนั้น ก็คือเป็นความสุขที่เป็นอิสระมากขึ้น สามารถมีความสุขได้โดยไม่ต้องพึ่งพา ไม่ต้องขึ้นต่อการเสพวัตถุ  ...

๓.๓ ความหมายของ ศีล วินัย สิกขาบท พรต วัตร ตบะ

รูปภาพ
ศีล คือ ความประพฤติดีงามสุจริต, เป็นคุณสมบัติของคนตามปกติ จึงใช้เป็นคำเอกพจน์ ไม่ได้เป็นข้อๆ วินัย ความหมายตามศัพท์ แปลว่า การชี้นำอย่างวิเศษหรือการจัดการให้ดี (ที่จะฝึกคนให้มีศีล), วินัยจึงเป็นประมวลแห่งสิกขาบททั้งหลายนั่นเอง เป็นคำเอกพจน์ สิกขาบท แปลว่า ข้อศึกษา ข้อฝึกความประพฤติ คือ ข้อบัญญัติ โดยเฉพาะข้อที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้เป็นข้อปฏิบัติที่จะต้องทำหรือต้องเว้นการใดๆ ตามที่บัญญัติไว้นั้น เพื่อให้มีความประพฤติและการปฏิบัติที่ถูกต้องดีงาม จะเห็นว่าสิกขาบทเป็นข้อๆ เมื่อพูดถึงหลายข้อ ก็เป็นพหูพจน์ ตามที่ว่ามานี้ สิกขาบททั้งหลายทั้งหมด รวมกันเป็นวินัย การปฏิบัติตามสิกขาบททั้งหลาย คือ ตั้งอยู่ในวินัย ก็เป็นศีล เช่น สิกขาบท ๕ ข้อ เรียกรวมว่า วินัยของคฤหัสถ์ เมื่อประพฤติถูกต้อง ก็เป็นผู้มีศีล, สิกขาบท ๒๒๗ ข้อ เรียกรวมว่า วินัยของภิกษุ ภิกษุที่ตั้งอยู่ในวินัยนี้ ประพฤติถูกต้อง ก็เป็นผู้มีศีล กล่าวคือ วินัย และสิกขาบท มีเป้าหมายเพื่อ ศีล พรต หมายถึง การสมาทานถือปฏิบัติข้อปฏิบัติที่เรียกว่าธุดงค์ทั้งหลาย (ธุดงค์ ๑๓ เป็น พรต ที่พระพุทธเจ้ายอมรับให้นำไปปฏิบัติได้) ไม่เป็นศีล ...

๓.๒ ความสุข และปัญหาเกี่ยวกับแรงจูงใจ

รูปภาพ
ความสุข คืออะไร ? ความสุข (ความหมายพื้นฐาน) คือ การได้สนองความต้องการ ความสมอยากสมปรารถนา ที่จริง ความสมอยาก หรือการได้สนองความต้องการนั้น พูดอีกสำนวนหนึ่ง ก็คือการทำให้ความต้องการสงบระงับไปนั่นเอง เหมือนอย่างระงับความกระหาย ด้วยการดื่มน้ำ หรือระงับความหิว ด้วยการกินอาหาร เมื่อความหิวสงบไป หรือเมื่อความกระหายสงบไป ก็เป็นความสุข ดังนั้น เมื่อพูดตามความหมายนี้ ความสงบระงับไปของความต้องการนั่นเอง เป็นความสุข หรือพูดให้สั้นว่า ความสุขคือความสงบ เมื่อความต้องการเกิดขึ้นแล้วพยายามระงับด้วยการไม่สนองมัน ฝืนข่มบังคับ ก็จะยิ่งทำให้มีอาการรุนแรง เร่าร้อนกระวนกระวายมากขึ้น ทำให้เกิดทุกข์แก่ตน และอาจเป็นภัยแก่ผู้อื่น ไม่ใช่สงบจริง เป็นขั้นการฝึกหัดฝืนข่มใจ แต่การฝึกฝนพัฒนายังมีแนวทางวิธีมากกว่านี้ กล่าวคือ วิธีที่ ๑. วิธีการทางจิต โดยให้ฝ่ายกุศลมีกำลังเหนือกว่า เช่น อยากหนีเรียนกินเหล้าเที่ยวเตร่ ให้เจริญฉันทะที่ใฝ่รู้ใฝ่ดีอยากศึกษาหาความรู้ จนแรงเข้มกว่าตัณหา, อยากขโมยเงิน ให้เจริญเมตตากรุณา นึกถึงว่าเขาหามาด้วยความลำบาก ไม่ควรไปเบียดเบียนเขา เป็นต้น วิธีที่ ๒.  วิธีทางปัญญา ก็เช่นว่า เขา...

๓.๑ อารยธรรมวิถี (วิถีชีวิตของคนมีอารยธรรม)

รูปภาพ
ทางดำเนินเพื่อเข้าถึงธรรมของอริยชน, วิถีชีวิตของคนมีอารยธรรม ในยุคสมัยแห่งบริโภคนิยม มีวัตถุสิ่งเสพปรนเปรออยู่เป็นอันมาก คนยุคปัจจุบันอาจมีความรู้สึกต่อนิพพานในทางลบ เห็นเป็นภาวะที่พึงผละหนี หรือรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่อยู่ห่างไกลเหลือเกิน ไม่เห็นเหตุผลที่จะต้องเข้าไปเกี่ยวข้อง ในสภาพเช่นนี้ นอกจากจะต้องพยายามสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับนิพพานให้เกิดขึ้นแล้ว มีภูมิธรรมระดับหนึ่งที่ควรช่วยกันชักจูงคนให้หันมาสนใจ คือความเป็นโสดาบัน ซึ่งเป็นอริยบุคคลระดับต้นในชุมชนอารยะ ซึ่งมีภาวะชีวิตที่ไม่ห่างไกลสำหรับปุถุชนทั้งหลาย แม้ในสมัยปัจจุบัน กลับจะเป็นที่น่าชื่นชมอย่างยิ่งอีกด้วย แม้พระพุทธองค์เอง ก็ได้ตรัสแนะนำย้ำไว้ว่า “ภิกษุทั้งหลาย เหล่าชน ทั้งคนที่พวกเธอพึงอนุเคราะห์ และคนที่พอจะรับฟังคำสอน ไม่ว่าจะเป็นมิตร เป็นผู้ร่วมงาน เป็นญาติ หรือสาโลหิตก็ตาม พวกเธอพึงชักชวน พึงสอนให้ตั้งอยู่ ให้ดำรงมั่น ในองค์คุณของโสดาบัน ๔ ประการ” (มิตตามัจจสูตร) “เลิศล้ำ เหนือความเป็นเอกราชบนผืนปัฐพี ดีกว่าการไปสู่สรวงสวรรค์ ประเสริฐกว่าสรรพโลกาธิปัตย์ คือ ผลการตัดถึงกระแสแห่งโพธิธรรม (โสดาปัตติผล) ” (โล...

๒.๗ ความไม่ประมาท

รูปภาพ
ชีวิตมนุษย์หรือสังคม จะเจริญอย่างเดียวไม่เสื่อมก็ได้ ปัจจัยสำคัญคือ ความไม่ประมาท ถ้ามนุษย์สามารถศึกษาพัฒนาตนเอง จนมีความรู้ความเข้าใจในอนิจจัง (ความเจริญและความเสื่อม) รู้เหตุปัจจัยที่จะนำมาซึ่งความเสื่อมหลีกเลี่ยงแก้ไขป้องกันเหตุปัจจัยนั้น, รู้เหตุปัจจัยที่จะนำมาซึ่งความเจริญ ทำด้วยความเพียร ก็จะรักษาความเจริญป้องกันความเสื่อมได้ และทำให้เจริญยิ่งขึ้นไป นี่แหละคือ ความไม่ประมาท กล่าวอีกแง่หนึ่ง ความไม่ประมาท คือหลักที่ทำให้เราสามารถเอาประโยชน์จากอนิจจังได้      บัณฑิตเพียงเห็นภัยมาถึงผู้อื่น ก็ไม่ประมาทขวนขวายเพื่อให้ตนพ้นไปจากภัยนั้น ส่วนผู้ที่มีปัญญาน้อยลงมา ต้องประสบทุกข์ภัยเองกับตัว จึงจะเกิดสติ เริ่มตั้งความเพียร ส่วนคนเขลาเมื่อประสบทุกข์ภัยกับตัวแล้ว ได้แต่คร่ำครวญ      ความสำเร็จและความสุขสบาย มักทำให้เกิดความประมาท คนที่ประสบความสำเร็จด้วยความสามารถของตนเอง รวมไปถึงคนที่สุขสบายมาแต่ต้น เมื่อสุขสบายแล้วมักจะหยุดหรือเฉื่อยชา หลงเพลินในความสุขความสำเร็จนั้น ทำให้เกิดเป็นวงจรของความเจริญและความเสื่อมขึ้น      ดังปรากฏซ้ำๆในประวัติศาสตร์...

๒.๖ ถ้าปฏิบัติธรรมถูกทาง ต้องได้ปราโมทย์

รูปภาพ
พระพุทธเจ้าตรัสถึงปราโมทย์ (ความเบิกบานใจ) นี้บ่อยมาก สามารถตั้งเป็นจุดกำหนดได้เลยว่า เมื่อใดพระพุทธเจ้าตรัสแสดงความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมมาตามลำดับ พอการปฏิบัตินั้นเข้าทางถูกต้องดี ก็จะมาถึงจุดร่วมที่เดียวกันว่า “ เกิดปราโมทย์ ” เช่น เมื่อตั้งใจปฏิบัติดี รักษาศีลได้ถูกต้อง ไม่มีความเดือดร้อนใจ ก็เกิดปราโมทย์ ยกหลักธรรมคำสอนที่ได้เล่าเรียนมาพิจารณาเกิดความเข้าใจ ก็เกิดปราโมทย์ ดำเนินชีวิตดีงาม มีความมั่นใจว่า แม้ถึงคราวจะตาย ก็ต้องไปเกิดดีแน่ ก็เกิดปราโมทย์ ระลึกถึงพระพุทธคุณ มีความเลื่อมใสลึกซึ้ง แล้วเพียรพยายามปฏิบัติให้ยิ่งขึ้นไปโดยไม่ประมาท ก็เกิดปราโมทย์ อย่างไรก็ตาม ปราโมทย์ ปีติ สุข ไม่ใช่ว่าจะเป็นของดีทุกกรณี บางทีระคนอยู่กับเรื่องบาปอกุศล เช่นที่เกี่ยวกับอามิส และเกิดจากกิเลส จึงไม่ใช่ความเจริญก้าวหน้าในธรรมเสมอไป, ที่พึงประสงค์นั้น จะต้องไม่พึ่งพาหรือขึ้นต่ออามิส และไม่ต้องอาศัยกิเลส แต่เป็นอิสระ ทำให้จิตที่เป็นกุศลมีกำลังเข้มแข็ง (คัมภีร์อภิธรรม อธิบายว่า โลภะ เป็นเหตุให้เกิดโสมนัสจิตได้ เช่น ใกล้สิ้นเดือนก็รู้สึกปีติยินดีที่จะได้เงินเดือนไปจับจ่ายใช้สอยตามต้องการ เป็นต้น ...

๒.๕.๓.๒ วิธีเจริญสมาธิโดยใช้กรรมฐาน : อานาปานสติ /โอทาตกสิณ / อัปปมัญญา ๔

รูปภาพ
วิธีเจริญสมาธิโดยใช้กรรมฐาน กรรมฐาน หมายถึง อารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งการงานของใจ, อุบายหรือวิธีฝึกจิตเจริญปัญญา กรรมฐาน มี ๒ คือ ๑. สมถกรรมฐาน : กรรมฐานเป็นอุบายสงบใจ เจริญสมาธิ ๒. วิปัสสนากรรมฐาน : กรรมฐานเป็นอุบายเรืองปัญญา (พิจารณาความเป็นไตรลักษณ์ของสภาวธรรม) ในที่นี้ด้านสมถกรรมฐานจะยกตัวอย่าง อานาปานสติ, โอทาตกสิณ, อัปปมัญญา ส่วนด้านวิปัสสนาจะยกตัวอย่าง สติปัฏฐาน ๔ อย่างไรก็ตาม ในกรรมฐานทุกชนิดสามารถถือเป็นได้ทั้งสมถะและวิปัสสนาขึ้นอยู่กับแง่ด้านในการปฏิบัติ เช่น การฝึกอานาปานสติเพื่อให้เกิดสมาธิเป็นด้านสมถะ ฝึกแล้วพิจารณาความเกิดดับของสภาวธรรมที่เกิดขึ้นขณะกำลังเจริญอานาปานสติก็เป็นด้านวิปัสสนา เป็นต้น ๑. สมถกรรมฐาน เท่าที่พระอรรถกถาจารย์รวบรวมแสดงไว้ มี ๔๐ อย่าง ท่านแนะนำว่า แตกต่างกันโดยความเหมาะสมแก่ผู้ปฏิบัติ ซึ่งควรเลือกใช้ให้เหมาะกับลักษณะนิสัย ความโน้มเอียงของแต่ละบุคคล ที่เรียกว่าจริยา (จริต) ต่างๆ ถ้าเลือกได้ถูกกันเหมาะกัน ก็ปฏิบัติได้ผลดี และรวดเร็ว ถ้าเลือกผิด อาจทำให้ปฏิบัติได้ล่าช้า หรือไม่สำเร็จผล อย่างไรก็ตามอย่าถึงกับตายตัวทีเดียว พูดอย่างกว้างๆ กรรมฐานทุกอย่างก็เป็...

๒.๕.๓.๑ ระดับของสมาธิ

รูปภาพ
ในชั้นอรรถกถาท่านจัดแยกสมาธิออกเป็น ๓ ระดับ คือ ระดับขั้นของสมาธิ ระดับที่ ๑ ขณิกสมาธิ : สมาธิชั่วขณะ, สมาธิขั้นต้นพอสำหรับใช้ในการเล่าเรียนทำการงานให้ได้ผลดี ให้จิตใจสงบสบายได้พักชั่วคราว และใช้เริ่มปฏิบัติวิปัสสนาได้ ระดับที่ ๒   อุปจารสมาธิ : สมาธิจวนจะแน่วแน่ ก่อนที่จะเข้าสู่ภาวะแห่งฌาน จัดเป็นขั้นสูงสุดของกามาวจรสมาธิ มีที่กำหนดชัดเจนคือ ในอุปจารสมาธิ นิวรณ์ก็ถูกละได้ระดับหนึ่งแล้ว และองค์ฌานก็เริ่มเกิดคล้ายกับอัปปนาสมาธิ มีข้อแตกต่างเพียงว่า องค์ฌานยังไม่มีกำลังดีพอ ได้นิมิตพักหนึ่ง ก็ตกภวังค์พักหนึ่ง ขึ้นตกๆเหมือนเด็กตั้งไข่ เขาพยุงลุก ก็คอยล้ม ส่วนในอัปปนาสมาธิ องค์ฌานทั้งหลายมีกำลังดีแล้ว จิตตัดภวังค์แล้วคราวเดียว ก็ตั้งอยู่ได้ทั้งคืนทั้งวัน เหมือนบุรุษผู้มีกำลัง ยืนขึ้นแล้วก็ยืนได้ตลอดวัน ระดับที่ ๓  อัปปนาสมาธิ : สมาธิแน่วแน่ หรือ สมาธิที่แนบสนิท นิวรณ์ ๕ สงบระงับไปด้วยกำลังของสมาธิ เป็นสมาธิระดับสูงสุด ซึ่งมีในฌานทั้งหลาย (ฌานทุกลำดับจัดเป็นอัปปนาสมาธิ) ถือว่าเป็นผลสำเร็จที่ต้องการของการเจริญสมาธิ เกิดขึ้นได้ด้วยการรักษาอุปจารสมาธิที่เกิดขึ้นแล้วนั้นสม่ำเสมอไม่ใ...

๒.๕.๓ หมวดสมาธิ : สัมมาวายามะ, สัมมาสติ, สัมมาสมาธิ

รูปภาพ
สัมมาวายามะ  เป็นเรื่องของความเพียร แยกเป็น ๔ ข้อ เรียกว่า 🔎ปธาน ๔ คือ ๑. เพียรระวัง อกุศลที่ยังไม่เกิด ๒. เพียรกำจัด อกุศลที่เกิดขึ้นแล้ว ๓. เพียรเจริญ กุศลที่ยังไม่เกิด ๔. เพียรรักษา กุศลที่เกิดขึ้นแล้ว พูดสั้นๆคือ ความเพียรเพื่อละอกุศลธรรม และทำกุศลธรรมให้เจริญขึ้นความเพียรเป็นคุณธรรมสำคัญยิ่งข้อหนึ่งในพระพุทธศาสนา ในหมวดธรรมที่เกี่ยวกับการปฏิบัติแทบทุกหมวด จะพบความเพียรแทรกอยู่ด้วย ในชื่อใดชื่อหนึ่ง “ธรรมนี้ เป็นของสำหรับผู้ปรารภ (กล่าวถึง ริเริ่ม ตั้งต้น) ความเพียร มิใช่สำหรับคนเกียจคร้าน” (อนุรุทธสูตร) การทำความเพียรก็ต้องมีความพอดี และมีความสมดุลกันของอินทรีย์อื่นๆ ดังพุทธพจน์ที่เปรียบเทียบความพอดีของความเพียรเหมือนสายพิณที่ไม่ตึงและไม่หย่อนเกินไป “ … แต่คราวใด สายพิณของเธอ ไม่ตึงเกินไป ไม่หย่อนเกินไป ตั้งอยู่ในระดับพอดี คราวนั้นพิณของเธอ จึงจะมีเสียงไพเราะ หรือเหมาะที่จะใช้การ … ความเพียรที่ระดมมากเกินไป ย่อมเป็นไปเพื่อความฟุ้งซ่าน ความเพียรที่หย่อนเกินไป ย่อมเป็นไปเพื่อความเกียจคร้าน เพราะเหตุนั้นแล เธอจงตั้งใจกำหนดความเพียรให้เสมอพอเหมาะ จงเข้าใจความเสมอพอดีกัน แห่งอิ...

๒.๕.๒ หมวดศีล : สัมมาวาจา, สัมมากัมมันตะ, สัมมาอาชีวะ

รูปภาพ
มรรคในหมวดศีล มี ๓ ข้อดังนี้ สัมมาวาจา   เจรจาชอบ กล่าวคือ เจตนางดเว้นจากการพูดเท็จ, ส่อเสียด, หยาบคาย, เพ้อเจ้อ สัมมากัมมันตะ  กระทำชอบ กล่าวคือ เจตนางดเว้นจากการเบียดเบียน และตัดรอนชีวิตผู้อื่น, เจตนางดเว้นจากการถือเอาของที่เขามิได้ให้, เจตนางดเว้นจากการประพฤติผิดในกามทั้งหลาย, ไม่เสพสิ่งเสพติดที่เป็นเหตุให้เกิดความประมาท สัมมาอาชีวะ  เลี้ยงชีพชอบ กล่าวคือ ละมิจฉาอาชีวะ การหลอกลวง การประจบ การบีบบังคับขู่เข็ญ, อาชีพที่ไม่ควรประกอบ ๕ อย่าง คือ ขายอาวุธ, ค้ามนุษย์, ค้าสัตว์มีชีวิต (เพื่อนำไปฆ่า), ค้ายาเสพติด, ขายยาพิษ หาเลี้ยงชีพด้วยสัมมาอาชีวะ หมายรวมถึง การทำหน้าที่ หรือการดำรงตนอย่างถูกต้องอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่ทำให้เป็นผู้สมควรแก่การได้ปัจจัยบำรุงเลี้ยงชีวิตด้วย เช่น พระสงฆ์, เด็ก, คนชรา ย่อมมีสัมมาอาชีวะที่ควรแก่ตน ความชั่วที่เกี่ยวกับทรัพย์สมบัติในขั้นต้น มี ๓ อย่าง คือ การแสวงหาทรัพย์โดยไม่ชอบธรรม, การครอบครองทรัพย์ไว้โดยไม่ทำให้เกิดประโยชน์, การใช้จ่ายทรัพย์ในทางที่เป็นโทษ ในขั้นสูง เน้นที่ ความรู้เท่าทันเข้าใจขอบเขตแห่งคุณค่า และโทษของทรัพย์ มีจิตใจเป็นอิสระ...