ลักษณะของจิต ๘๙ ดวงในอภิธรรมเบื้องต้น

ลักษณะปรมัตถ์และบัญญัติ | การทำงานของจิตในพระอภิธรรม 🧠

🧠ลักษณะของปรมัตถ์และบัญญัติ และการทำงานของจิต

ความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับลักษณะธรรมในพระอภิธรรม

🔍ความหมายของ "ลักษณะ" ในพระไตรปิฎกและอรรถกถา

คำว่า ลักษณะ นี้ ในพระไตรปิฎกและอรรถกถาใช้เรียกทั้ง บัญญัติบัญญัติธรรม: สิ่งที่ถูกกำหนดหรือสมมติขึ้นเพื่อการสื่อสารและความเข้าใจร่วมกัน ไม่มีสภาวะจริงในตัวเอง เช่น ชื่อคน สัตว์ สิ่งของ และ ปรมัตถ์ปรมัตถธรรม: สภาวะที่มีอยู่จริงโดยตัวเอง ไม่ได้อาศัยการสมมติ มีลักษณะเฉพาะตน ได้แก่ จิต เจตสิก รูป นิพพาน โดยมีหลักการแบ่งเป็นหลักอยู่ดังนี้:

  1. ถ้าเป็น ปรมัตถธรรม มีสภาวะอยู่จริง เรียกว่า ปัจจัตตลักษณะปัจจัตตลักษณะ (Paccattalakkhaṇa): ลักษณะเฉพาะตัวของปรมัตถธรรมแต่ละอย่าง ที่ทำให้ทราบว่าธรรมนั้นคืออะไร เช่น ลักษณะรู้อารมณ์ของจิต หรือ วิเสสลักษณะ เช่น การรับรู้เป็นลักษณะของจิต เพราะทำให้เราสามารถกำหนดเจาะจงลงไปได้ว่า “นี้เป็นจิต ไม่ใช่ดิน” เป็นต้น จะสังเกตได้ว่าลักษณะแบบนี้ก็คือตัวสภาวะนั้นๆ นั่นเอง เพราะสามารถกำหนดหมายลงไปได้ด้วยตัวเอง เช่น จิตก็คือการรับรู้-การรับรู้ก็คือจิต เป็นต้น ฉะนั้น ท่านจึงตั้งชื่อว่า ปัจจัตตลักษณะ (ปฏิ+อัตต+ลักขณะ) แปลว่า เอกลักษณ์, เอกลักษณ์เฉพาะตัว, สัญลักษณ์ส่วนตัว
  2. ถ้าไม่ใช่ปรมัตถธรรม ไม่มีสภาวะอยู่จริง เรียกว่า “บัญญัติ” เช่น อนิจจลักษณะเป็นลักษณะของขันธ์ ๕อนิจจลักษณะ: ลักษณะที่ไม่เที่ยง ความเปลี่ยนแปลง ขันธ์ ๕ (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ล้วนไม่เที่ยง เพราะทำให้เราสามารถกำหนดเจาะจงลงไปได้ว่า “สิ่งนี้เป็นตัวอนิจจัง (ขันธ์) ไม่ใช่นิพพาน” เช่นเดียวกัน นิจจลักษณะก็เป็นลักษณะของนิพพานนิจจลักษณะ: ลักษณะที่เที่ยง นิพพานเป็นธรรมที่เที่ยง ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่เกิดดับ เพราะทำให้เราทราบได้ว่า “สิ่งนี้เป็นนิพพาน ไม่ใช่ขันธ์” คำว่า “จักขุปสาทจักขุปสาท: ประสาทตา เป็นรูปธรรมชนิดหนึ่งที่มีความใส สามารถรับภาพได้” เป็นลักษณะของตัวจักขุปสาท เพราะทำให้เราระลึกถึงจักขุปสาทนั้นได้ เป็นต้น จะสังเกตได้ว่าลักษณะแบบนี้เป็นสิ่งที่ทำให้ทราบถึงตัวสภาวะได้ (เช่นคำว่า “จักขุปสาท”) หรือไม่ก็สามารถจะทำให้ทราบถึงบัญญัติที่มีความเกี่ยวเนื่องกับสภาวะได้ (เช่น อนิจจลักษณะ) เป็นต้น อนึ่ง ไตรลักษณ์ไตรลักษณ์: ลักษณะ ๓ ประการของสังขารธรรมทั้งปวง คือ อนิจจัง (ไม่เที่ยง) ทุกขัง (เป็นทุกข์ ทนอยู่สภาพเดิมไม่ได้) อนัตตา (ไม่ใช่ตัวตน บังคับบัญชาไม่ได้) จัดเป็นบัญญัติธรรม ก็จัดเข้าในลักษณะประเภทที่ ๒ นี้ด้วย เพราะท่านระบุไว้ว่าเป็นบัญญัติ

💡ลักษณะของจิต: สามัญลักษณะและวิเสสลักษณะ

จิตมี สามัญลักษณะสามัญลักษณะ (Sāmaññalakkhaṇa): ลักษณะทั่วไปที่ปรากฏแก่สังขารธรรมทั้งปวง (จิต เจตสิก รูป) คือ ไตรลักษณ์ (ลักษณะสามัญตามธรรมชาติ) อยู่ ประการ คือ:

  1. อนิจจลักษณะ คือ มีลักษณะที่ไม่เที่ยง ไม่คงที่ ต้องเปลี่ยนแปลง (เกิด-ดับ) อยู่ตลอดเวลา
  2. ทุกขลักษณะ คือ มีลักษณะที่ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ (เกิดขึ้นแล้วต้องดับไป)
  3. อนัตตลักษณะ คือ มีลักษณะที่มิใช่ตัว มิใช่ตน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของผู้ใด จะบังคับให้หยุดการเกิดดับก็ไม่ได้

สามัญลักษณะทั้ง นี้ เป็นสิ่งจริงแท้แน่นอน เป็นกฎธรรมชาติที่เรียกว่า “ไตรลักษณ์” รูปธรรม และนามธรรมทั้งหลายอันได้แก่ รูป จิตและ เจตสิก ย่อมจะต้องมีลักษณะเช่นนี้เหมือนกันทั้งหมด

นอกจากจิตจะมีสามัญลักษณะตามที่กล่าวมาแล้ว จิตยังมี วิเสสลักษณะวิเสสลักษณะ (Visesalakkhaṇa): ลักษณะพิเศษหรือลักษณะเฉพาะตัวของจิต ที่ทำให้จิตแตกต่างจากธรรมอื่น (ลักษณะพิเศษเฉพาะตัว) อีก ประการ คือ:

  1. มีการ รู้อารมณ์ เป็นลักษณะอารมณ์ (Ārammaṇa): สิ่งที่จิตรู้ หรือสิ่งที่ถูกจิตรู้ เช่น รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสทางกาย และธรรมารมณ์ (เรื่องในใจ)
  2. เป็นประธานในธรรมทั้งปวงเป็นกิจ
  3. มีการเกิดดับสืบต่อกันอย่างไม่ขาดสายเป็นผล
  4. มีอดีตกรรม ทวาร อารมณ์และเจตสิก เป็นเหตุใกล้ให้จิตเกิดขึ้นเหตุใกล้ให้จิตเกิด: ๑. อดีตกรรม: กรรมในอดีตที่ส่งผล ๒. ทวาร: ช่องทางการรับรู้ (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) ๓. อารมณ์: สิ่งที่ถูกรู้ ๔. เจตสิก: ธรรมที่ประกอบกับจิต

⚙️การทำงานของจิต

การทำงานของจิตจะเกิดดับสืบต่อกันไปอย่างไม่ขาดสาย ในพระสูตรตอนหนึ่ง พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้มีใจความว่า:

“ยากที่จะนำสิ่งอื่นๆ ทั้งหลายในโลก มาเปรียบเทียบกับความเกิดดับอันรวดเร็วของจิต เพราะจิต เกิดดับๆ รวดเร็วกว่าสิ่งใดๆ ในโลก เพียงชั่วลัดนิ้วมือเดียว จิตจะเกิดดับถึง แสนโกฏิขณะ หรือ ๑,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ ดวง (หนึ่งล้านล้านดวง)”

ที่ว่าจิตมีการเกิดดับสืบต่ออย่างไม่ขาดสาย เพราะจิตดวงที่ ๑ เกิดขึ้นแล้วดับไป ต่อจากนั้นจิตดวงที่ ๒ ก็จะเกิดขึ้นติดต่อกันแล้วก็ดับไปอีก เป็นเช่นนี้ต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ ดังในภาพ:

แผนภาพการเกิดดับของจิต

ภาวะที่จิตเกิดดับสืบต่อกันเป็นกระแสนี้ท่านเรียกว่า สันตติสันตติ (Santati): ความสืบเนื่อง หรือกระแสของจิตที่เกิดดับต่อเนื่องกันไปไม่ขาดสาย เปรียบเหมือนกระแสน้ำ ซึ่งสามารถเปรียบเทียบได้กับกระแสน้ำที่ประกอบไปด้วยอณูของน้ำเล็กๆ เรียงติดต่อกันเป็นสาย ขณะที่กระแสจิตไม่ออกมารับรู้เรื่องราว (อารมณ์) ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ เช่นเวลานอนหลับ จิตในขณะนั้นมีชื่อเรียกว่า ภวังคจิตภวังคจิต (Bhavanga-citta): จิตที่ดำรงภพ หรือจิตที่ทำหน้าที่รักษาความเป็นบุคคลนั้นไว้ในระหว่างที่ไม่ได้ขึ้นวิถีรับอารมณ์ใหม่ เช่น ขณะหลับสนิท ซึ่งเป็นจิตที่ทำหน้าที่ รักษารูปนามในภพปัจจุบันไว้มิให้แตกทำลายไป จนกว่าจะสิ้นอายุจากภพนี้

แม้ในขณะหลับสนิท (ไม่มีการฝัน) หรือสลบไป ก็จะมีภวังคจิตเกิดดับสืบเนื่องกันตลอดเวลา อารมณ์ของภวังคจิตเป็นอารมณ์ที่สืบเนื่องมาจากเหตุปัจจัยในอดีตภพ เมื่อใดก็ตามที่จิตออกมารับรู้เรื่องราว(อารมณ์) ทางประตู(ทวาร) ทั้ง คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ เมื่อนั้นจิตจะขึ้นสู่วิถีซึ่งเรียกว่า วิถีจิตวิถีจิต (Vīthi-citta): กระบวนการทำงานของจิตที่เกิดขึ้นเมื่อมีการรับรู้อารมณ์ทางทวารใดทวารหนึ่ง เป็นลำดับของจิตที่เกิดขึ้นและดับไปอย่างรวดเร็ว และ เมื่อสิ้นสุดแต่ละวิถีก็จะมีภวังคจิตที่คอยรักษาภพชาติ เกิดคั่นอยู่ทุกครั้ง แต่เราจะไม่รู้สึกตัว เพราะการเปลี่ยนแปลงกลับไปกลับมานั้นเกิดขึ้นรวดเร็วมาก


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ขอเชิญแสดงความคิดเห็นด้วยเมตตา สะท้อนข้อคิดของตนไว้ที่นี่ได้ ความคิดเห็นที่สุภาพและสร้างสรรค์จะเป็นธรรมทานร่วมกันแก่ผู้อื่น🌿🌿

แสงธรรมนำทาง...

สคริปเก่า