🧠ที่ตั้งของจิต ปสาทรูป วัตถุ ทวาร และอำนาจของจิต

📍ที่ตั้งของจิต (ปสาทรูป)
เปลวเทียนต้องอาศัยไส้เทียนในการลุกไหม้ฉันใด จิตจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องมีที่ตั้งให้อาศัยเกิดฉันนั้น ฉะนั้นที่ตั้งอันเป็นที่ให้อาศัยเกิดของจิตมี ๖ แห่ง คือ
- ประสาทตา (จักขุปสาทรูปความใสของมหาภูตรูปที่สามารถรับภาพได้ อยู่บริเวณกลางตาดำ ไม่ใช่ลูกตาทั้งหมด) เป็นที่ตั้งของจิตเห็น (จักขุวิญญาณ)จิตที่ทำหน้าที่เห็นรูปารมณ์ อาศัยจักขุปสาทเกิด ประสาทตานี้มิได้หมายถึงดวงตาหรือลูกตาทั้งลูก แต่หมายเฉพาะประสาทตา ที่อยู่กลางตาดำมีขนาดประมาณเท่ากับศีรษะของเหา จักขุปสาทนี้จะซึมซาบอยู่ที่เยื่อตาบางๆ ๗ ชั้น มีความสามารถในการรับคลื่นแสง (รูปารมณ์อารมณ์คือรูป หรือสิ่งที่ถูกเห็นทางตา) ที่มากระทบ
- ประสาทหู (โสตปสาทรูปความใสของมหาภูตรูปที่สามารถรับเสียงได้ อยู่ภายในช่องหู) เป็นที่ตั้งของจิตได้ยิน (โสตวิญญาณ)จิตที่ทำหน้าที่ได้ยินสัททารมณ์ อาศัยโสตปสาทเกิด อยู่ภายในช่องหู มีลักษณะเป็นวงกลมคล้ายวงแหวน และมีขนอันละเอียดอ่อนสีแดงปรากฏอยู่โดยรอบ มีความสามารถในการรับเสียง (สัททารมณ์อารมณ์คือเสียง หรือสิ่งที่ถูกได้ยินทางหู) ที่มากระทบ
- ประสาทจมูก (ฆานปสาทรูปความใสของมหาภูตรูปที่สามารถรับกลิ่นได้ อยู่ภายในช่องจมูก) เป็นที่ตั้งของจิตรู้กลิ่น (ฆานวิญญาณ)จิตที่ทำหน้าที่รู้กลิ่นคันธารมณ์ อาศัยฆานปสาทเกิด อยู่ภายในช่องจมูก มีลักษณะคล้ายกีบเท้าแพะ มีความสามารถในการรับกลิ่น (คันธารมณ์อารมณ์คือกลิ่น หรือสิ่งที่ถูกรู้ทางจมูก) ที่มากระทบ
- ประสาทลิ้น (ชิวหาปสาทรูปความใสของมหาภูตรูปที่สามารถรับรสได้ อยู่บริเวณกลางลิ้น) เป็นที่ตั้งหรือที่อาศัยเกิดของจิตลิ้มรส (ชิวหาวิญญาณ)จิตที่ทำหน้าที่ลิ้มรสรสารมณ์ อาศัยชิวหาปสาทเกิด อยู่ตรงกลางลิ้น มีลักษณะเหมือนปลายกลีบดอกบัวเรียงรายซ้อนกันเป็นชั้นๆ มีความสามารถในการรับรส (รสารมณ์อารมณ์คือรส หรือสิ่งที่ถูกรู้ทางลิ้น) ที่มากระทบ
- ประสาทกาย (กายปสาทรูปความใสของมหาภูตรูปที่สามารถรับสัมผัสได้ แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย) เป็นที่ตั้งของจิตที่รับสัมผัสทางกาย (กายวิญญาณ)จิตที่ทำหน้าที่รับสัมผัสโผฏฐัพพารมณ์ อาศัยกายปสาทเกิด ประสาทกายนี้จะเกิดอยู่ทั่วร่างกาย ยกเว้นที่เส้นผม ขน เล็บ ฟัน กระดูก และบริเวณที่มีหนังหนาด้าน มีลักษณะคล้ายสำลีที่แผ่บางๆ ชุบน้ำมันจนชุ่มซ้อนกันหลายๆ ชั้น มีความสามารถในการรับความรู้สึก เย็น ร้อน อ่อนแข็ง หย่อนตึง (โผฏฐัพพารมณ์อารมณ์คือสิ่งที่ถูกสัมผัสทางกาย ได้แก่ ปฐวีธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ) ที่มากระทบ
- หทัย (หทัยรูปรูปที่เป็นที่อาศัยเกิดของมโนวิญญาณและมโนธาตุ อยู่ภายในช่องอก ตรงกลางหัวใจ) เป็นที่ตั้งหรือที่อาศัยเกิดของมโนวิญญาณจิตที่ทำหน้าที่รู้ธรรมารมณ์ และจิตอื่นๆ ที่ไม่ได้อาศัยปสาทรูป ๕ ได้แก่จิตที่ไม่ได้อาศัยปสาทรูปทั้ง ๕ ข้างต้น ที่เกิดอยู่ภายในช่องเนื้อหัวใจ มีลักษณะเหมือนบ่อ มีโลหิตอันเป็นน้ำหล่อเลี้ยงหัวใจบรรจุอยู่ประมาณกึ่งซองมือ (วิธีวัด คือให้ห่อฝ่ามือนิ้วเรียงชิดติดกัน นำน้ำมาใส่บรรจุไว้ในฝ่ามือปริมาตรน้ำประมาณครึ่งหนึ่งนั้นเท่ากับกึ่งซองมือ) มีสัณฐานโตประมาณเท่าเมล็ดในดอกบุนนาค เป็นรูปอันเป็นที่อาศัยเกิดของมโนวิญญาณ
🔗ปสาทรูป วัตถุ และทวาร
หากถามว่า อะไรคือ ปสาทรูป อะไรคือ วัตถุ และอะไรคือ ทวาร ก็จักตอบได้ว่า ปสาทรูปทั้ง ๕ ได้แก่ จักขุปสาทรูป, โสตปสาทรูป, ฆานปสาทรูป, ชิวหาปสาทรูป, กายปสาทรูป เมื่อเป็นที่อาศัยเกิดของจิต ก็เรียกปสาทรูปว่า จักขุวัตถุจักขุปสาทรูปที่เป็นที่อาศัยเกิดของจักขุวิญญาณ, โสตวัตถุโสตปสาทรูปที่เป็นที่อาศัยเกิดของโสตวิญญาณ, ฆานวัตถุฆานปสาทรูปที่เป็นที่อาศัยเกิดของฆานวิญญาณ, ชิวหาวัตถุชิวหาปสาทรูปที่เป็นที่อาศัยเกิดของชิวหาวิญญาณ, กายวัตถุกายปสาทรูปที่เป็นที่อาศัยเกิดของกายวิญญาณ
นั่นก็หมายความว่า จักขุปสาทเมื่อเป็นที่อาศัยเกิดของจิต ก็ชื่อว่าจักขุวัตถุปสาทรูปเปลี่ยนชื่อเรียกเป็น "วัตถุ" เมื่อทำหน้าที่เป็นที่ตั้งให้จิตเกิด แต่ขณะที่ไม่ได้เป็นที่อาศัยเกิดของจิตเห็น ก็ชื่อว่าจักขุปสาทรูปนั่นเอง
ในปสาทรูปที่เหลือคือ โสต ฆาน ชิวหา กาย ก็เป็นไปในทำนองเดียวกัน
อีกประการหนึ่ง ปสาทรูปทั้ง ๕ ยังทำหน้าที่เป็น ประตู (ทวาร)ช่องทางในการรับรู้อารมณ์ สำหรับรับอารมณ์ที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น และกาย จึงเรียกปสาทรูปว่า จักขุทวารจักขุปสาทรูปที่เป็นประตูรับรูปารมณ์, โสตทวารโสตปสาทรูปที่เป็นประตูรับสัททารมณ์, ฆานทวารฆานปสาทรูปที่เป็นประตูรับคันธารมณ์, ชิวหาทวารชิวหาปสาทรูปที่เป็นประตูรับรสารมณ์, กายทวารกายปสาทรูปที่เป็นประตูรับโผฏฐัพพารมณ์
ส่วน หทัยรูป ซึ่งเป็นที่อาศัยเกิดของ มโนวิญญาณ (จิต) ทั้งหมด (ยกเว้นจิตที่เกิดทางตา หู จมูก ลิ้น กาย) หทัยรูปนี้ก็ได้ชื่อว่า หทัยวัตถุหทัยรูปที่เป็นที่อาศัยเกิดของมโนวิญญาณธาตุและมโนธาตุ และเมื่อเป็นประตูสำหรับรับ ธัมมารมณ์อารมณ์ที่รู้ได้ทางใจ เช่น เวทนา สัญญา สังขาร รูปละเอียด นิพพาน บัญญัติ หทัยรูปนี้ก็ได้ชื่อว่า มโนทวารภวังคจิต (ทำหน้าที่เป็นหทัยรูป) ที่เป็นประตูรับธัมมารมณ์

✨อำนาจของจิต
จิต หรือ วิญญาณ นี้ นอกจากจะเป็นธรรมชาติที่รู้อารมณ์ตามที่ทราบแล้ว ยังทำหน้าที่เป็น ประธานในธรรมทั้งปวง คือ การงานต่างๆ ทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ ไม่ว่าจะเป็นบุญ (กุศลกรรมกรรมดี, การกระทำที่เป็นบุญ) หรือเป็นบาป (อกุศลกรรมกรรมชั่ว, การกระทำที่เป็นบาป) จะสำเร็จได้ก็ด้วยจิตทั้งสิ้น
มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฺฐา มโนมยา
ธรรมทั้งหลายมีจิตเป็นใหญ่ มีจิตเป็นหัวหน้า สำเร็จได้ด้วยจิต
จิตนี้ แม้จะเป็นนามธรรมธรรมที่ไม่มีรูป มีแต่การรู้ นึกคิด ได้แก่ จิตและเจตสิกที่ไม่มีรูปร่างตัวตน และแสดงความรู้สึกอยู่ภายในเท่านั้นก็จริง แต่ก็มีอำนาจวิเศษอย่างน่าอัศจรรย์และวิจิตรพิสดารยิ่งนัก กล่าวคือ
- มีอำนาจในการกระทำ — ไม่ว่าจะเป็นการทำงานของอวัยวะน้อยใหญ่ในร่างกาย การพูด การเคลื่อนไหว การกระทำต่าง ๆ ตลอดจนการคิดก็เกิดขึ้นด้วยจิตทั้งสิ้น สรรพสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรถ เรือ เครื่องบิน ยานอวกาศ อาวุธยุทโธปกรณ์ อุปกรณ์สื่อสาร เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่าง ๆ สิ่งก่อสร้าง ภาพวาด วิทยาการและเทคโนโลยีต่างๆ ฯลฯ ก็ล้วนมีจิตเป็นผู้คิดขึ้นมาทั้งสิ้น
- มีอำนาจด้วยตนเอง — คือ มีอำนาจในการทำบุญ ทำบาป ทำสมาธิถึงขั้นฌานสมาบัติ มีอำนาจในการแสดงอิทธิฤทธิ์ต่างๆ (อภิญญาความรู้และความสามารถพิเศษที่เกิดจากสมาธิ เช่น แสดงฤทธิ์ได้ ตาทิพย์ หูทิพย์) ตลอดจนมีอำนาจในการทำลายอนุสัยกิเลสกิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในสันดาน ยังไม่ได้ถูกกำจัดที่เป็นเหตุให้มีการเวียนว่ายตายเกิดอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น
- มีอำนาจในการสั่งสมกรรม — เพราะจิตเป็นต้นเหตุให้มีการทำบาป ทำบุญ ทำฌาน อภิญญา ทำวิปัสสนากรรมฐานการปฏิบัติธรรมเพื่อให้เกิดปัญญาเห็นแจ้งตามความเป็นจริงของนามรูป กรรมทั้งหลายที่ได้กระทำลงไปแล้ว ไม่ว่าจะดีหรือชั่ว จะถูกเก็บบันทึกเอาไว้ด้วยอำนาจของจิต
- มีอำนาจในการรักษาวิบาก — (ผลของกรรมวิบาก คือ ผลที่เกิดขึ้นจากการกระทำกรรม) กรรมทั้งหลายที่ได้กระทำลงไปแล้ว ทั้งที่เป็นกุศลและอกุศล แม้จะนานเท่าไรก็ตาม กี่ภพกี่ชาติก็ตาม ย่อมติดตามส่งผลตลอดไปจนกว่าจะปรินิพพานการดับสิ้นเชื้อแห่งกิเลสและกองทุกข์ เป็นเป้าหมายสูงสุด
- มีอำนาจในการสั่งสมสันดานอัธยาศัยหรือความเคยชินที่สั่งสมมาเป็นเวลานานของตนเอง — การกระทำใดๆ หากกระทำอยู่บ่อยๆ กระทำอยู่เสมอๆ ก็จะฝังในจิตติดเป็นสันดาน และคิดจะทำเช่นนั้นเรื่อยไป เช่น คบคนพาลก็จะกลายเป็นคนพาล คบบัณฑิตก็จะเป็นบัณฑิต ทั้งนี้เป็นเพราะอำนาจในการสั่งสมสันดานของจิตนั่นเอง
- มีอำนาจในการรับอารมณ์ต่าง ๆ — ที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ไม่ว่าจะเป็น อดีตอารมณ์อารมณ์ที่เกิดขึ้นและดับไปแล้วในอดีต, อนาคตอารมณ์อารมณ์ที่ยังไม่เกิดขึ้น คาดการณ์ไปในอนาคต, หรือ ปัจจุบันอารมณ์อารมณ์ที่กำลังปรากฏอยู่ในปัจจุบันขณะ และไม่ว่าจะเป็น บัญญัติอารมณ์อารมณ์ที่เกิดจากการสมมติบัญญัติขึ้น เช่น ชื่อ รูปร่าง สัณฐาน หรือ ปรมัตถอารมณ์อารมณ์ที่เป็นสภาวธรรมแท้จริง เช่น จิต เจตสิก รูป นิพพาน จิตก็สามารถรับได้ทั้งสิ้น
แม้จิตจะเกิดดับอยู่ตลอดเวลาก็ตาม แต่ บาป บุญ ที่ทำไว้ และ อนุสัยกิเลส ที่นอนเนื่องอยู่ในขันธสันดานความสืบต่อแห่งขันธ์ หรือกระแสแห่งความเป็นไปของขันธ์ ๕ จะไม่สูญหายไปพร้อมกับการดับของจิตแต่ละดวง ทั้งนี้เพราะจิตดวงใหม่มีเหตุมีปัจจัยมาจากจิตดวงเดิม และจิตดวงใหม่ที่เกิดขึ้นก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้แก่จิตดวงต่อไป เพื่อสืบต่อบาป บุญ และกิเลสที่สั่งสมไว้ไปจนกว่าจะปรินิพพาน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
ขอเชิญแสดงความคิดเห็นด้วยเมตตา สะท้อนข้อคิดของตนไว้ที่นี่ได้ ความคิดเห็นที่สุภาพและสร้างสรรค์จะเป็นธรรมทานร่วมกันแก่ผู้อื่น🌿🌿