repost

 

📜ความหมายและโครงสร้างของพระอภิธัมมัตถสังคหะ

อภิธัมมัตถสังคหะแยกออกเป็น:
  • อภิ = อันประเสริฐยิ่ง
  • ธัมมะ = สภาพที่ทรงไว้ไม่มีการผิดแปลกแปรผัน
  • อัตถะ = เนื้อความ
  • สัง = โดยย่อ
  • คหะ = รวบรวม

อภิธัมมัตถสังคหะ จึงหมายถึงคัมภีร์ซึ่งรวบรวมเนื้อความของพระอภิธรรมทั้ง ๗ คัมภีร์ไว้โดยย่อ อันเปรียบเสมือนแบบเรียนเร็ว พระอภิธรรมแบ่งเป็น ๙ ปริจเฉท๙ ตอน หรือ ๙ บท ของคัมภีร์พระอภิธัมมัตถสังคหะ (๙ ตอน) แต่ละปริจเฉทมีเนื้อหาโดยสรุปดังนี้:

ปริจเฉทที่ ๑ จิตตสังคหวิภาค

แสดงเรื่องธรรมชาติของจิตสภาวะที่รู้อารมณ์ เป็นนามธรรม เป็นประธานในการรู้ ประเภทของจิต ทั้งโดยย่อและโดยพิสดาร ทำให้เข้าใจถึงจิตประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกุศลจิตจิตที่ดีงาม ที่เป็นบุญ อกุศลจิตจิตที่ไม่ดีงาม ที่เป็นบาป วิบากจิตจิตที่เป็นผลของกรรม กิริยาจิตจิตของพระอรหันต์และจิตที่ไม่ใช่บุญไม่ใช่บาป มหัคคตจิตจิตที่ถึงความเป็นใหญ่ คือ รูปาวจรจิตและอรูปาวจรจิต (จิตในฌานสมาบัติ) และโลกุตตรจิตจิตที่พ้นจากโลก ได้แก่ มรรคจิตและผลจิต

ปริจเฉทที่ ๒ เจตสิกสังคหวิภาค

แสดงเรื่องเจตสิกสภาวธรรมที่เกิดร่วมกับจิต ดับพร้อมจิต รู้อารมณ์เดียวกับจิต และอาศัยวัตถุเดียวกับจิต คือธรรมชาติที่ประกอบกับจิตเพื่อปรุงแต่งจิต มีทั้งหมด ๕๒ ลักษณะเจตสิกมีทั้งหมด ๕๒ ดวง แบ่งเป็น อัญญสมานาเจตสิก ๑๓, อกุศลเจตสิก ๑๔, โสภณเจตสิก ๒๕ แบ่งเป็น เจตสิกที่ประกอบกับจิตได้ทุกประเภท เจตสิกฝ่ายกุศลและเจตสิกฝ่ายอกุศล

ปริจเฉทที่ ๓ ปกิณณกสังคหวิภาค

แสดงการนำจิตและเจตสิกมาสัมพันธ์กับธรรม ๖ หมวด ได้แก่:

  • ความรู้สึกของจิต (เวทนาการเสวยอารมณ์ สุข ทุกข์ หรือเฉยๆ)
  • เหตุแห่งความดีความชั่ว (เหตุมูลรากของกุศลธรรมและอกุศลธรรม มี ๖ อย่างคือ โลภะ โทสะ โมหะ อโลภะ อโทสะ อโมหะ)
  • หน้าที่ของจิต (กิจหน้าที่ของจิต ๑๔ อย่าง เช่น ปฏิสนธิกิจ ภวังคกิจ อาวชนกิจ เป็นต้น)
  • ทางรับรู้ของจิต (ทวารประตูหรือทางรับรู้อารมณ์ มี ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ)
  • สิ่งที่จิตรู้ (อารมณ์สิ่งที่จิตไปยึดหน่วงหรือรับรู้ เช่น รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์)
  • ที่ตั้งที่อาศัยของจิต (วัตถุที่อาศัยเกิดของจิต มี ๖ คือ จักขุวัตถุ โสตวัตถุ ฆานวัตถุ ชิวหาวัตถุ กายวัตถุ หทัยวัตถุ)
ปริจเฉทที่ ๔ วิถีสังคหวิภาค

แสดงวิถีจิตกระบวนการทำงานของจิตเมื่อรับรู้อารมณ์ผ่านทวารทั้ง ๖ อันได้แก่กระบวนการทำงานของจิตที่เกิดทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เมื่อได้ศึกษาปริจเฉทนี้แล้วจะทำให้รู้กระบวนการทำงานของจิตทุกประเภท บุญบาปไม่ได้เกิดที่ไหน เกิดที่วิถีจิตนี้เอง ก่อนที่จะเกิดจิตบุญหรือจิตบาป มีจิตขณะหนึ่งเกิดก่อน คอยเปิดประตูให้เกิดจิตบุญหรือจิตบาป จิตดวงนี้เกี่ยวข้องกับการวางใจอย่างแยบคาย (โยนิโสมนสิการการทำในใจโดยแยบคาย การพิจารณาโดยถูกวิธี เป็นเหตุให้เกิดกุศลธรรม) หรือการวางใจอย่างไม่แยบคาย (อโยนิโสมนสิการการทำในใจโดยไม่แยบคาย การพิจารณาโดยผิดวิธี เป็นเหตุให้เกิดอกุศลธรรม) หากเราได้เข้าใจก็จะมีประโยชน์ในการป้องกันมิให้จิตบาปเกิดขึ้นได้

ปริจเฉทที่ ๕ วิถีมุตตสังคหวิภาค

แสดงถึงการทำงานของจิตขณะใกล้ตาย ขณะตาย (จุติการเคลื่อน, การตาย, จิตที่ทำหน้าที่ตาย) และขณะเกิดใหม่ (ปฏิสนธิการสืบต่อ, การเกิด, จิตที่ทำหน้าที่เกิดในภพใหม่) กล่าวถึงเหตุแห่งการตาย การเกิดของสัตว์ในภพภูมิต่างๆระดับชั้นของชีวิตที่สัตว์ไปเกิดตามอำนาจกรรม มี ๓๑ ภูมิ โดยแบ่งได้ถึง ๓๑ ภพภูมิกามภูมิ ๑๑, รูปภูมิ ๑๖, อรูปภูมิ ๔ (มนุษยภูมิเป็นเพียง ๑ ใน ๓๑ ภูมิ) ขณะเวลาใกล้จะตาย ภาวะจิตเป็นอย่างไร ควรวางใจอย่างไรจึงจะไปเกิดในภพภูมิที่ดี พระพุทธองค์ทรงอธิบายไว้อย่างชัดเจนว่าตายแล้วต้องเกิดทันที มิใช่ตายแล้ววิญญาณ (จิต) ต้องเร่ร่อนเพื่อไปหาที่เกิดใหม่ และยังได้อธิบายเรื่องของกรรมการกระทำโดยเจตนา ที่จะส่งผลในอนาคต ลำดับแห่งการให้ผลของกรรมไว้อย่างละเอียดลึกซึ้งอีกด้วย

ปริจเฉทที่ ๖ รูปสังคหวิภาคและนิพพาน

เมื่อได้ศึกษาทำความเข้าใจเรื่องจิตและเจตสิก อันเป็นนามธรรมธรรมที่ไม่มีรูป มีแต่การรู้ การนึกคิดมาแล้ว ในปริจเฉทที่ ๖ นี้พระอนุรุทธาจารย์ได้แสดงองค์ประกอบที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของมนุษย์และสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย นั่นก็คือเรื่องของรูปสภาวะที่ไม่รู้อารมณ์ เป็นสสารหรือส่วนที่เป็นร่างกาย ร่างกาย (รูปธรรมธรรมที่มีรูป สัมผัสได้ทางกาย) โดยแบ่งรายละเอียดออกเป็นรูปต่างๆ ได้ ๒๘ ชนิดมหาภูตรูป ๔ และอุปาทายรูป ๒๔ และอธิบายถึงสมุฏฐานเหตุเกิด, ที่ตั้งแห่งการเกิดของรูป มี ๔ คือ กรรม จิต อุตุ อาหาร (เหตุ) ในการเกิดรูปต่างๆ ไว้อย่างละเอียดพิสดาร ในตอนท้ายได้กล่าวถึงเรื่องพระนิพพานสภาวะที่ดับกิเลสและกองทุกข์ เป็นเป้าหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนาว่ามีสภาวะอย่างไร อันจะทำให้เข้าใจเรื่องของพระนิพพานได้อย่างถูกต้องชัดเจน

ปริจเฉทที่ ๗ สมุจจยสังคหวิภาค

เมื่อได้ศึกษาปรมัตถธรรม ๔คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน อันได้แก่ จิต เจตสิก รูป นิพพาน มาจากปริจเฉทที่ ๑ ถึง ๖ แล้ว ในปริจเฉทนี้จะแสดงธรรมที่เป็นฝ่ายกุศล ซึ่งให้ผลเป็นความสุขและธรรมที่เป็นฝ่ายอกุศลซึ่งให้ผลเป็นความทุกข์ ในสภาวะความเป็นจริงแล้วกุศลจิต (จิตบุญ) และอกุศลจิต (จิตบาป) จะเกิดสลับสับเปลี่ยนกันอยู่ตลอดเวลา ส่วนจะเกิดจิตชนิดไหนมากน้อยเพียงใดนั้นย่อมขึ้นอยู่กับคุณธรรมและจริยธรรมของแต่ละบุคคล คนเราทั่วไปมักไม่เข้าใจและไม่รู้จักกับกุศลและอกุศลเหล่านี้ จึงทำให้ชีวิตตกอยู่ในวัฏฏทุกข์ทุกข์ที่เกิดจากการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏไม่รู้จักจบสิ้น ในปริจเฉทที่ ๗ นี้ได้แสดงธรรมที่ควรรู้ที่สำคัญๆได้แก่ อุปาทานขันธ์ขันธ์ ๕ ที่ถูกอุปาทาน (ความยึดมั่นถือมั่น) เข้าไปยึดไว้ (ขันธ์กอง, ส่วนประกอบของชีวิต มี ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณที่ถูกอุปาทานยึดมั่นอย่างเหนียวแน่น), อายตนะ ๑๒ที่เชื่อมต่อระหว่างภายในและภายนอก ทำให้เกิดการรับรู้ มี อายตนะภายใน ๖

และอายตนะภายนอก ๖ (สิ่งเชื่อมต่อเพื่อให้รู้อารมณ์), ธาตุ ๑๘ ธรรมชาติที่ทรงไว้ซึ่งสภาวะของตน เป็นพื้นฐานของการรับรู้ ประกอบด้วย อายตนะภายใน ๖, อายตนะภายนอก ๖, และวิญญาณธาตุ ๖ (ธรรมชาติที่ทรงไว้ซึ่งสภาพของตน), 

อริยสัจ ๔ความจริงอันประเสริฐ ๔ ประการ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค (ความจริงของพระอริยะ), โพธิปักขิยธรรมธรรมอันเป็นฝักฝ่ายแห่งความตรัสรู้ มี ๓๗ ประการ (ธรรมที่เกื้อกูลการตรัสรู้, ธรรมที่เกื้อหนุนแก่อริยมรรค) มี ๓๗ ประการสติปัฏฐาน ๔, สัมมัปปธาน ๔, อิทธิบาท ๔, อินทรีย์ ๕, พละ ๕, โพชฌงค์ ๗, มรรคมีองค์ ๘ คือ สติปัฏฐาน ๔ฐานที่ตั้งแห่งสติ ๔ ประการสัมมัปปธาน ๔ความเพียรชอบ ๔ ประการอิทธิบาท ๔คุณเครื่องให้ถึงความสำเร็จ ๔ ประการอินทรีย์ ๕ธรรมที่เป็นใหญ่ในหน้าที่ของตน ๕ ประการพละ ๕กำลังธรรม ๕ ประการโพชฌงค์ ๗องค์แห่งการตรัสรู้ ๗ ประการ และ มรรคมีองค์ ๘หนทางอันประเสริฐมีองค์ประกอบ ๘ ประการ นำไปสู่ความดับทุกข์

ปริจเฉทที่ ๘ ปัจจยสังคหวิภาค

ในปริจเฉทนี้ ท่านได้แสดงเรื่องปฏิจจสมุปบาทธรรมที่อาศัยกันเกิดขึ้นเป็นทอดๆ เป็นกฎแห่งการเกิดขึ้นพร้อมแห่งธรรมทั้งหลาย (เหตุและผลที่ทำให้มีการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ) และปัจจัยสนับสนุน ๒๔ ปัจจัย ปัจจัย ๒๔ ประการตามนัยแห่งคัมภีร์ปัฏฐาน ที่อุดหนุนให้ธรรมทั้งหลายเกิดขึ้น ในตอนท้ายยังได้แสดงความหมายของบัญญัติธรรมสิ่งที่ถูกสมมติขึ้น ไม่ได้มีอยู่โดยสภาวะปรมัตถ์ เช่น คน สัตว์ สิ่งของ ซึ่งเป็นธรรมที่ไม่ใช่เป็นความจริงแท้แต่เป็นจริงตามสมมุติ (สมมุติสัจจะความจริงโดยสมมติ ที่ชาวโลกตกลงกันใช้เรียกหรือสมมุติโวหาร) ตามกติกาของชาวโลก

ปริจเฉทที่ ๙ กัมมัฏฐานสังคหวิภาค

ในปริจเฉทนี้ ท่านกล่าวถึงความแตกต่างของสมถกรรมฐานการปฏิบัติกรรมฐานเพื่อให้จิตสงบแน่วแน่เป็นสมาธิ และ วิปัสสนากรรมฐานการปฏิบัติกรรมฐานเพื่อให้เกิดปัญญาเห็นแจ้งในสภาวะของนามรูปตามความเป็นจริง เพื่อให้เห็นว่าสมถกรรมฐานหรือการทำสมาธินั้นเป็นการปฏิบัติเพื่อให้จิตเกิดความสงบ และเกิดอภิญญาความรู้ยิ่งยวด มี ๖ อย่าง เช่น แสดงฤทธิ์ได้ หูทิพย์ ตาทิพย์ (เกิดอิทธิฤทธิ์ต่างๆ) เท่านั้น ซึ่งไม่ใช่จุดมุ่งหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนา เพราะผลของการทำสมาธิหรือสมถกรรมฐานนั้นเป็นการข่มกิเลสไว้ชั่วขณะเท่านั้น ไม่สามารถทำลายกิเลสได้ ถึงแม้จะเจริญสมถกรรมฐานถึงขั้นอรูปฌานฌานที่ไม่มีรูปเป็นอารมณ์ มี ๔ ขั้นจนได้เสวยสุขอยู่ในอรูปพรหมภูมิภพของผู้ได้อรูปฌาน เป็นภพที่ละเอียดประณีต ไม่มีรูปเป็นเวลาอันยาวนาน แต่ในที่สุดก็ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จักจบจักสิ้น


🙏 จุดมุ่งหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา

จุดมุ่งหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา คือการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน เพื่อให้เกิดปัญญารู้แจ้งในสภาวธรรมตามความเป็นจริงว่า จิต + เจตสิก และรูป ซึ่งเป็นองค์ประกอบของชีวิตต่างก็มีการเกิดขึ้น – ตั้งอยู่ – ดับไป – เกิดขึ้น – ตั้งอยู่ – ดับไป ต่อเนื่องกันไปอย่างรวดเร็วอยู่ตลอดเวลา เป็นสภาพที่ไม่เที่ยง ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ ไม่ใช่ตัวตนอะไรของใคร ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่สามารถที่จะบังคับบัญชาได้ ว่างเปล่าจากความเป็นตัวตน ปัญญาที่ประจักษ์แจ้งในสภาวธรรมตามความเป็นจริงเช่นนี้ เมื่อมีกำลังแก่กล้าก็จะสามารถประหารกิเลสและเข้าถึงพระนิพพานได้ในที่สุด

ธรรมบรรยาย คัมภีร์พุทธวงศ์ ตอนที่ ๒๑-๒๕

🙏 พระพุทธวงศ์ เป็นพระคัมภีร์ที่กล่าวถึงพระประวัติของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ที่ได้ตรัสรู้ในกัปปอื่น และ กัปปนี้อีก ๔ พระองค์(รวมองค์ปัจจุบัน) เนื้อหาในคัมภีร์เปี่ยมด้วยพลังแห่งศรัทธา และความศักดิ์สิทธิ์แห่งพระพุทธคุณ

ในชุดนี้ ตอนที่ ๒๑–๒๕ นี้ เป็นการสืบต่อพระพุทธประวัติของ พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๘ ถึงองค์ที่ ๑๒ ได้แก่
📖 ตอนที่ ๒๑ – วงศ์พระปทุมพุทธเจ้า
📖 ตอนที่ ๒๒ – วงศ์พระนารทพุทธเจ้า
📖 ตอนที่ ๒๓ – วงศ์พระปทุมุตรพุทธเจ้า
📖 ตอนที่ ๒๔ – วงศ์พระสุเมธพุทธเจ้า
📖 ตอนที่ ๒๕ – วงศ์พระสุชาตพุทธเจ้า

 แต่ละพระองค์ล้วนทรงประกอบบารมีอันยิ่งใหญ่ ทรงแสดงธรรมแก่หมู่สัตว์นับอนันต์ และทรงแสดงคุณธรรมที่ประเสริฐสุด ขอธรรมะอันลึกซึ้งจากพระพุทธวงศ์จงสัมผัสจิตใจของท่านผู้ฟังทุกท่าน ให้เกิดความศรัทธา ความเพียร และปัญญาในการเดินทางสู่ความพ้นทุกข์

🪷 ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์ สมบัติ นันทิโก

   🔉 ตอนที่ ๒๑ – พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๘ วงศ์พระปทุมพุทธเจ้า

🔉 ตอนที่ ๒๒ – พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๙ วงศ์พระนารทพุทธเจ้า

🔉 ตอนที่ ๒๓ – พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๑๐ วงศ์พระปทุมุตรพุทธเจ้า

🔉 ตอนที่ ๒๔ – พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๑๑ วงศ์พระสุเมธพุทธเจ้า

🔉 ตอนที่ ๒๕ – พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๑๒ วงศ์พระสุชาตพุทธเจ้า

ธรรมบรรยาย คัมภีร์พุทธวงศ์ ตอนที่ ๑๗-๒๐

🎧 ธรรมบรรยายตามพระไตรปิฎก

🌿 โดย พระอาจารย์สมบัติ นันทิโก

ตอนที่ ๑๗ 🪷 พระพุทธเจ้ากับการเจริญมงคล (มงคล ๓๘ ประการ)

ตอนที่ ๑๘ 🪷 วงศ์พระโสภิตพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๖

ตอนที่ ๑๙ 🪷 วงศ์พระอโนมทัสสีพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๗

ตอนที่ ๒๐ 🪷 พุทธะพยากรณ์ให้ท่านพระสารีบุตร

🌿เกริ่นนำ

วงศ์พระโสภิตพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๖

ประวัติพระโสภิตพุทธเจ้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า "โสภิตะ" ทรงอุบัติขึ้นในสมัยถัดจากพระเรวตพุทธเจ้า ทรงเป็น "นายกของโลก" ผู้มีพระทัยมั่นคง สงบระงับ ไม่มีใครเสมอเหมือน

เมื่อครั้งยังทรงครองราชสมบัติ ทรงเบื่อหน่ายในราชสมบัติและพระราชวัง จึงทรงสละราชสมบัติ ผนวชและตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ จากนั้นจึงทรงประกาศ พระธรรมจักร ให้แผ่กว้างครอบคลุมตั้งแต่แดนมนุษย์เบื้องล่างไปจนถึงพรหมโลกเบื้องบน แม้แต่สัตว์ในอเวจีมหานรกก็ได้ร่วมในธรรมสภานั้นด้วย

📜ธรรมาภิสมัยและการแสดงธรรม
ครั้งที่ ๑ : ทรงแสดงธรรมจักรแก่บริษัทที่กว้างใหญ่ไพศาล นับจำนวนผู้ตรัสรู้ธรรมไม่ได้
ครั้งที่ ๒ : ทรงแสดงธรรมในสมาคมมนุษย์และเทวดา มีผู้บรรลุธรรมถึง เก้าหมื่นโกฏิ 
ครั้งที่ ๓ : ภายหลังเมื่อพระราชาชยเสนะสร้างพระอารามถวาย พระพุทธองค์ตรัสธรรมประกาศการบูชาอีกครั้ง มีผู้บรรลุธรรมเพิ่มขึ้นอีก พันโกฏิ  

สมัยนั้น เราเป็นพราหมณ์นามว่าสุชาติ (พระมหาโพธิสัตว์ อดีตชาติพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน) เราได้ถวายข้าวและน้ำให้พระพุทธเจ้าเสวยพร้อมทั้งพระสาวกจนเพียงพอ แม้พระพุทธเจ้าพระนามว่าโสภิตผู้เป็นนายกของโลกพระองค์นั้น ก็ทรงพยากรณ์เราว่า "ผู้นี้จักได้เป็นพระพุทธเจ้า ....... ข้ามแม่น้ำใหญ่" เราได้ฟังพระพุทธพยากรณ์แม้นั้นแล้ว มีใจยินดีปราโมทย์แล้วได้กระทำความเพียรอย่างยอดเยี่ยมฯ

☸️══════════☸️


วงศ์พระอโนมทัสสีพุทธเจ้า 
พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๗

สมัยต่อมาจากพระพุทธเจ้าพระนามว่า โสภิต มีพระสัมพุทธเจ้าพระนามว่า อโนมทัสสี ทรงพระยศนับไม่ได้ มีพระเดชยากที่จะล่วงได้ พระองค์ทรงตัดเครื่องผูกทุกอย่าง ทรงทำลายภพ ๓ แล้ว ทรงแสดงทางที่ไปไม่กลับ ในหมู่เทวดาและมนุษย์ พระองค์ทรงพระคุณนับไม่ได้ดังมหาสมุทรยากที่จะให้จมลงเหมือนภูเขา ไม่มีที่สุดดุจอากาศพระคุณบานเต็มที่เช่นพญารัง

สัตว์ทั้งหลายย่อมยินดี แม้ด้วยการเห็นพระองค์ สัตว์เหล่านั้นได้ฟังพระสุรเสียงที่ทรงเปล่ง
ย่อมบรรลุอมตธรรมในกาลนั้น

📜ธรรมาภิสมัยและการแสดงธรรม 
ธรรมาภิสมัยของพระองค์ เจริญรุ่งเรือง ในการแสดงพระธรรมเทศนา
ครั้งที่ ๑ สัตว์ ร้อยโกฏิ ได้ตรัสรู้
สมัยต่อมา เมื่อพระองค์ทรงยังฝนคือธรรมให้ตกในการแสดงธรรมเทศนา
ครั้งที่ ๒ สัตว์ แปดสิบโกฏิ ได้ตรัสรู้
และในสมัยต่อมา เมื่อพระองค์ยังฝนคือธรรมให้ตกให้สัตว์ทั้งหลายอิ่มหนำสำราญ
ธรรมาภิสมัย
ครั้งที่ ๓ ได้มีแก่สัตว์ เจ็ดสิบแปดโกฏิ ได้ตรัสรู้

พระบรมศาสดา ได้ทรงประชุมพระภิกษุ ผู้บรรลุอภิญญาและพลธรรม ผู้บานแล้วด้วยการหลุดพ้น รวม ๓ ครั้ง
ครั้งที่ ๑ พระภิกษุขีณาสพ ผู้ละความมัวเมาและความหลงมีจิตสงบระงับ ผู้คงที่ มาประชุม แปดแสน
ครั้งที่ ๒ พระภิกษุขีณาสพ ผู้ไม่มีกิเลสเครื่องยั่วยวน ปราศจากธุลี สงบระงับ คงที่ มาประชุม เจ็ดแสน
ครั้งที่ ๓ พระภิกษุขีณาสพ ผู้บรรลุอภิญญาและพลธรรม ผู้ดับสนิท มีตบะ มาประชุม หกแสน


ในสมัยนั้น เราเป็นยักษ์ (พระมหาโพธิสัตว์ อดีตชาติพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน) มีฤทธิ์มาก เป็นใหญ่
ปกครองยักษ์หลายโกฏิให้อยู่ในอำนาจ แม้ในครั้งนั้น เราก็ได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ
ผู้ทรงแสวงหาคุณใหญ่หลวงพระองค์นั้น แล้วได้ถวายข้าวและน้ำให้พระองค์เสวยพร้อมด้วยพระสงฆ์จนเพียงพอ แม้พระมุนี ผู้มีพระนัยนาบริสุทธิ์พระองค์นั้นก็ทรงพยากรณ์เราว่า "ผู้นี้จักได้เป็นพระพุทธเจ้าในโลก" เราได้ฟังพระพุทธพยากรณ์นั้นแล้ว ก็บังเกิดความยินดี มีใจปราโมทย์ อธิษฐานวัตรในการบำเพ็ญบารมีให้ยิ่งขึ้น ฯ



ตอนที่ ๑๖ วงศ์พระเรวตพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๕

🎶 ฟังธรรมบรรยายตามพระไตรปิฎก 

🪷 บรรยาย โดย พระอาจารย์สมบัติ นันทิโก

🪷 พระเรวตพุทธเจ้า


พระเรวตพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๕ (ตามลำดับในคัมภีร์พุทธวงศ์) ผู้ทรงแสดงธรรมอันประณีตที่ไม่มีใครเคยประกาศในโลก ทรงมีพระคุณล้ำเลิศ ไม่มีใครเสมอเหมือน

👑 พระนามและพระคุณ
พระนามเ
ต็ม: พระเรวตพุทธเจ้า (เรวตมหามุนี, เรวตบรมศาสดา)
สมญา: พระพิชิตมาร, พระมหาวีรชิน, นราสภ
พระคุณ: ทรงแสดงธรรมลึกซึ้งและกว้างไกล ผู้มีพระปัญญาสูงสุด ไม่มีใครเปรียบเทียบ

🏛️ พระราชประวัติ
พระนคร: สุธัญญกะ
พระราชบิดา: พระเจ้าวิปุละ
พระราชมารดา: พระนางวิปุลาเทวี
พระมเหสี: พระนางสุทัสนา
พระโอรส: พระวรุณกุมาร
ทรงครองอคารสถาน: ๖,๐๐๐ ปี
ปราสาท: สุทัสนะ, รัตนัคฆิ, อาเวฬะ
นารีสนมนางใน: ๓ โกฏิ ๓ แสน

🕊️ เสด็จออกบรรพชาและตรัสรู้
ทรงเห็นนิมิต ๔ ประการ เสด็จออกบวชด้วยราชยาน ทรงบำเพ็ญเพียร ๗ เดือนเต็ม ตรัสรู้ใต้ต้นกากะทิง 🌳
สถานที่แสดงธรรมจักร: วรุณาราม

📜 การแสดงธรรมและธรรมาภิสมัย
แสดงธรรมโดยไม่มีใครเคยประกาศมาก่อน ธรรมาภิสมัย ๓ ครั้ง:
  • ครั้งที่ ๑: มากเกินจะคำนวณได้ (แก่พระเจ้าอรินทมหาราช) 
  • ครั้งที่ ๒: มนุษย์และเทวดา พันโกฏิ 
  • ครั้งที่ ๓: เทวดาและมนุษย์ ร้อยโกฏิ 
👥 การประชุมสาวก
การประชุมพระภิกษุขีณาสพ ๓ ครั้ง:
  • ๑. มากจนไม่อาจนับได้ 
  •  ๒. แสนโกฏิ (หลังแสดงธรรมจักร) 
  •  ๓. แสนโกฏิ (ขณะประชวรใกล้ปรินิพพาน) 
🧘 สมัยในอดีตของพระโคตมพุทธเจ้า
ขณะนั้นทรงเป็นพราหมณ์ชื่อ "อติเทพ" เข้าเฝ้า บูชา และถวายผ้าจีวรแด่พระเรวตพุทธเจ้า และได้รับพุทธพยากรณ์ว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต พระโพธิสัตว์จึงอธิษฐานบารมี ๑๐ ยิ่งๆขึ้น 

🔖 อ้างอิง: พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๓ ข้อ ๗๔๔๑ – ๗๔๙๕
ที่มา: 84000.org

๒. อุทเทสวาระ

เตลกฎาหคาถา ข้อ ๕๕:
ทุกฺขํ อนิจฺจมสุภํ วต อตฺตภาวํ    มา สํกิเลสย น วิชฺชติ ชาตุ นิจฺโจ
อมฺโภ น วิชฺชติ หิ อปฺปมปีห สารํ    สารํ สมาจรถ ธมฺมมลํ ปมาทํ.
“ท่านผู้เจริญ ท่านอย่าทำสรีระที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่งาม ให้เศร้าหมองด้วยกามวิตกเป็นต้นเลย สิ่งคงที่ถาวรย่อมไม่มี แก่นสารแม้เล็กน้อยในสรีระนี้หามีไม่ เชิญท่านทั้งหลายประพฤติธรรมอันมีแก่นสาร ความประมาทย่อมไม่เหมาะสมเลย"

 ❀❀❀ ๒. อุทเทสวาระ 

 (ปริจเฉทแสดงอุเทศ)

👉หาระ ๑๖

ถามว่า : หาระ ๑๖ ประการในเรื่องนั้น คืออะไร
ตอบว่าหาระ ๑๖ ประการ คือ 

  • ๑. เทศนาหาระ คือ แนวทางในการแสดงประกอบด้วย อัสสาทะ อาทีนวะ นิสสรณะ จุดมุ่งหมาย อุบายและการชักชวนฃ
  • ๒. วิจยหาระ คือ แนวทางในการจำแนกบท คำถาม และคำตอบ
  • ๓. ยุตติหาระ คือ แนวทางในการตรวจสอบความเหมาะสมโดยพยัญชนะและอรรถ
  • ๔. ปทัฎฐานหาระ คือ แนวทางในการแสดงปทัฎฐาน (เหตุใกล้) โดยอนุโลมนัยและปฎิโลมนัย
  • ๕. ลักขณหาระ คือ แนวทางในการแสดงธรรมอื่นที่มิได้กล่าวไว้โดยตรง
  • ๖. จตุพยูหหาระ คือ แนวทางในการอธิบายวิธี ๔ กลุ่ม คือ
    - รูปวิเคราะห์
    - ความมุ่งหมายของพระพุทธเจ้าหรือพระสาวก
    - เหตุของการแสดงธรรม
    - การเชื่อมโยงพระสูตร
  • ๗. อาวัฎฎหาระ คือ แนวทางในการเวียนไปสู่ธรรมที่เสมอกันและไม่เสมอกัน
  • ๘. วิภัตติหาระ คือ แนวทางในการจำแนกสภาวะธรรม (เหตุใกล้ , ภูมิ) โดยทั่วไปและไม่ทั่วไป
  • ๙. ปริวัตตนหาระ คือ แนวทางในการเปลี่ยนไปในทางตรงกันข้าม
  • ๑๐. เววจนหาระ คือ แนวทางในการแสดงคำไวพจน์ (คำความหมายเหมือนกัน)
  • ๑๑. ปัญญัตติหาระ คือ แนวทางในการแสดงบัญญัติ
  • ๑๒. โอตรณหาระ คือ แนวทางในการหยั่งลงสู่ขันธ์ อายตนะ ธาตุ อินทรีย์ และปฎิจสมุปบาท
  • ๑๓. โสธนหาระ คือ แนวทางในการตรวจสอบบท อรรถของบท คำถามและคำตอบ
  • ๑๔. อธิฎฐานหาระ คือ แนวทางในการโดยสามัญทั่วไปหรือโดยพิเศษ
  • ๑๕. ปริกขารหาระ คือ แนวทางในการแสดงเหตุปัจจัย
  • ๑๖. สมาโรปนหาระ คือ แนวทางในการยกขึ้นแสดงด้วยเหตุใกล้ คำไวพจน์ การภาวนา และการละกิเลส

คาถาสรุป คือ

เทสนาหาระ วิจยหาระ ยุตติหาระ ปทัฏฐานหาระ ลักขณหาระ จตุพยูหหาระ อาวัฏฏหาระ วิภัตติหาระ ปริวัตนหาระ เววจนหาระ ปัญญัตติหาระ โอตรณหาระ โสธนหาระ อธิฏฐานหาระ ปริกขารหาระ และสมาโรปนหาระ หาระทั้ง ๑๖ ประการนี้ แสดงไว้โดยมีเนื้อความไม่ปะปนกัน อนึ่ง การจำแนกหาระเหล่านั้นอย่างเหมาะสมโดยพิสดารจะปรากฏต่อไป

👉นัย ๕

ถามว่า : นัย ๕ ประการในเรื่องนั้น คืออะไร
ตอบว่า : นัย ๕ ประการ คือ

  • ๑. นันทิยาวัฏฏนัย นัยที่เหมือนการเรียนของดอกกฤษณาที่เวียนจากด้านในไปด้านนอก โดยเวียนจากธรรมฝ่ายหลักไปสู่ธรรมคล้อยตาม กล่าวคือ การประกอบเนื้อความของพระพุทธพจน์ฝ่ายสังกิเลสด้วยตัณหาและอวิชชา โดยจำแนกตามสัจจะ ๔ และการนำเนื้อความของพระพุทธพจน์ฝ่ายโวทานด้วยสมถะและวิปัสสนา โดยจำแนกตามสัจจะ ๔
  • ๒. ติปุกขลนัย นัยที่งามด้วยส่วนทั้ง ๓ คือ โลภะ โทสะ และโมหะในฝ่ายสังกิเลส (ฝ่ายเศร้าหมอง) และงามด้วยอโลภะ อโทสะ และอโมหะในฝ่ายโวทาน (ฝ่ายหมดจด) กล่าวคือ การประกอบเนื้อความของพระพุทธพจน์ฝ่ายเศร้าหมองด้วยอกุศลมูล ๓ อันได้แก่ โลภะ โทสะ และโมหะ โดยจำแนกตามสัจจะ ๔ และการประกอบเนื้อความของพระพุทธพจน์ฝ่ายหมดจดด้วยกุศลมูล อันได้แก่ อโลภะ อโทสะ และอโมหะ โดยจําแนกตามสัจจะ ๔
  • ๓. สีหวิกกีฬิตนัย นัยที่เหมือนการย่างกรายของราชสีห์คือพระผู้มีพระภาค เพราะแสดงวิปัลลาสและอินทรีย์ ๕ ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อวิปัลลาสเหล่านั้น กล่าวคือ การประกอบเนื้อความของพระพุทธพจน์ฝ่ายเศร้าหมองด้วยสุภสัญญาเป็นต้น ๔ โดยจำแนกตามสัจจะ ๔ และการประกอบเนื้อความของพระพุทธพจน์ฝ่ายหมดจดด้วยอสุภสัญญาเป็นต้น ๔ โดยจำแนกตามสัจจะ ๔
  • ๔. ทิสาโลจนนัย นัยที่สอดส่องกุศลธรรมเป็นต้นโดยความเป็นหัวข้อหลักแห่งนัย ๓ อย่างแรก
  • ๕. อังกุสนัย นัยที่เหมือนตาขอซึ่งเกี่ยวธรรมมารวมกันไว้ในนัย ๓ อย่างแรก

คาถาสรุป คือ

นัยแรกที่แสดงข้อความ ชื่อว่า นันทิยาวัฏฏะ นัยที่ ๒ ชื่อว่าติปุกขละ นัยที่ ๓ ชื่อว่า สีหวิกกีฬตะ นัยที่ ๔ อันยอดเยี่ยม ชื่อว่าทิสาโลจนะ นัยที่ ๕ ชื่อว่า อังกุสะ พึงทราบนัยทั้ง ๕ ประการทั้งปวง


👉มูลบท ๑๘

ถามว่า : มูลบท ๑๘ บท ในเรื่องนั้น คืออะไร
ตอบว่า : มูลบท ๑๘ บท คือ มูลบท ๙ ฝ่ายกุศล และมูลบท ๙ ฝ่ายอกุศล

ถามว่า : มูลบทฝ่ายอกุศล ๙ บท คืออะไร
ตอบว่า : มูลบทฝ่ายอกุศล ๙ บท คือ ตัณหา อวิชชา โลภะ โทสะ โมหะ สุภสัญญา (ความสำคัญว่างาม) สุขสัญญา (ความสำคัญว่าสุข) นิจจสัญญา (ความสําคัญว่าเที่ยง) และอัตตสัญญา (ความสำคัญว่าเป็นตัวตน) ธรรมฝ่ายอกุศลทั้งปวงย่อมถึงการประมวลรวมไว้ในมูลบท ๙ บทใดบทหนึ่ง (มูลบท คือ บทเดิม หมายถึง บทที่จะนำมาจำแนกเป็นนัยต่างๆ และสาสนปัฏฐานคือสูตรแสดงคำสอน ที่จะกล่าวถึงต่อไป บทเต็มเหล่านี้ คือ ธรรมฝ่ายกุศล หรือธรรมฝ่ายอกุศล ซึ่งแบ่งออกเป็นอย่างละ ๙ อย่าง ดังนั้น ก่อนจะจำแนกเป็นนัยทั้ง ๕ และสาสนปัฏฐาน จึงควรสังเกตก่อนว่ามูลบทคืออะไร แล้วจึงจําแนกไปตามสมควรในฝ่ายกุศลหรือฝ่ายอกุศล

ข้อควรรู้ :
ตัณหาและโลภะ โดยองค์ธรรมคือ โลภเจตสิก แม้อวิชชาและโมหะ โดยองค์ธรรมก็คือโมหเจตสิก แต่ในที่นี้ท่านกล่าวแยกกันตามชื่อที่ปรากฏในพระสูตร

ถามว่า : มูลบทฝ่ายกุศล ๙ บท คืออะไร
ตอบว่า : มูลบทฝ่ายกุศล ๙ บท คือ สมถะ วิปัสสนา อโลภะ อโทสะ อโมหะ อสุภสัญญา (ความสําคัญว่าไม่งาม) ทุกขสัญญา (ความสําคัญว่าทุกข์) อนิจจสัญญา (ความสำคัญว่าไม่เที่ยง) และอนัตตสัญญา (ความสำคัญว่าไม่ใช่ตัวตน) ธรรมฝ่ายกุศลทั้งปวงย่อมถึงการประมวลรวมไว้ในมูลบท ๙ บทใดบทหนึ่ง

ข้อควรรู้ :
อสุภสัญญาเป็นต้น ๔ ประการ โดยองค์ธรรม คือ สติปัฏฐาน ๔ มีกายานุปัสสนาเป็นต้น 
ในที่นี้ท่านแสดงไว้โดยมีสัญญาเป็นหลัก แต่มุ่งให้หมายถึงสติที่ประกอบร่วมกับสัญญา

ธรรมฝ่ายกุศลจําแนกออกเป็น ๔ กลุ่ม และเป็นปฏิปักษ์ต่อธรรมฝ่ายอกุศลเป็นคู่ๆ กัน คือ

๑. สมถะ    การอบรมจิตเพื่อให้เกิดสมาธิเป็นปฏิปักษ์ต่อ    ตัณหา
๒. วิปัสสนา    การอบรมจิตเพื่อให้เกิดปัญญาเป็นปฏิปักษ์ต่อ    อวิชชา
๓. กุศลเหตุ ๓    อโลภเหตุ อโทสเหตุ และอโมหเหตุเป็นปฏิปักษ์ต่อ    โลภเหตุ โทสเหตุ และโมหเหตุ
๔. สัญญา ๔    อสุภสัญญา เป็นต้น เป็นปฏิปักษ์ต่อสัญญาวิปัลลาสมี    สุภสัญญา เป็นต้น

ในอุเทศของมูลบท ๑๘ ท่านแสดงมูลบท ๙ ฝ่ายกุศล และมูลบท ๙ ฝ่ายอกุศล แต่ในการจําแนกมูลบทดังกล่าวได้อธิบายมูลบทฝ่ายอกุศลไว้ก่อน การใช้คำในลักษณะนี้เป็นสำนวนทางภาษาที่เรียกว่า ปัจจาสัตตินัย คือ นัยที่กล่าวถึงสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวก่อน ซึ่งในที่นี้เป็นการใกล้กับประโยคหลังที่จะกล่าวต่อไป ส่วนการแสดงตามลำดับ นิยมใช้โดยทั่วไปเรียกว่า ยถากกมนัย คือ นัยกล่าวตามลำดับ

คาถาสรุป

ต่อไปนี้เป็นอุเทศในมูลบทนั้นว่า
    บท (ฝ่ายอกุศล) ๙ คือ ตัณหา อวิชชา โลภะ โทสะ โมหะ และ วิปัลลาส ๔ (สุภสัญญา สุขสัญญา นิจจสัญญา อัตตสัญญา] เป็นอารมณ์ของกิเลส (เพราะเป็นที่ประชุมแห่งอกุศลธรรมทั้งปวง)
    บท (ฝ่ายกุศล) ๙ คือ สมถะ วิปัสสนา กุศลมูล ๓ (อโลภะ อโทสะ อโมหะ) และสติปัฏฐาน ๔ (อสุภสัญญา ทุกขสัญญา อนิจจสัญญา และอนัตตสัญญา) เป็นอารมณ์ของอินทรีย์มีศรัทธาเป็นต้น (เพราะเป็นที่ประชุมแห่งอินทรีย์)

ธรรมฝ่ายกุศลประกอบร่วมกับมูลบท ๙ และฝ่ายอกุศลก็ประกอบร่วมกับมูลบท ๙ นี้แลชื่อว่ามูลบท ๑๘

ข้อควรรู้ :
ธรรมฝ่ายกุศล ๙ ประการมีสมถะเป็นต้นเป็นอารมณ์ของอินทรีย์ กล่าวคือ ผู้ที่จะอบรมอินทรีย์ ๕ ให้แก่กล้าต้องอาศัยธรรมฝ่ายกุศลเหล่านั้น นอกจากนี้ เมื่อต้องการจะอธิบายข้อความที่เกี่ยวกับอินทรีย์ก็ต้องอธิบายโดยมีธรรมเหล่านั้นเป็นหลัก ส่วนธรรมฝ่ายอกุศลพึงทราบโดยนัยตรง
กันข้าม

คำว่า อุททาน เป็นคำไวพจน์ของ สงฺคหวจนคำสรุป แปลตามศัพท์ว่า คำรักษาข้อความที่กล่าวมาแล้ว มาจาก อุ บทหน้า = เบื้องบน, คำที่กล่าวมาแล้ว + ทา ธาตุ = รักษา + ยุ ปัจจัยในกรณสาธนะ มีรูปวิเคราะห์ว่า อุทฺธํ ทานํ รกฺขณํ อุทฺทานํ (อุททานะ คือ คำรักษาในเบื้องบน)

อุทฺเทสวาโร
จบ อุทเทสวาระ

อารมณ์พิสดาร

ธรรมะสำหรับผู้เริ่มต้น | อภิธรรมศึกษาเพื่อความเข้าใจพระไตรปิฎกอย่างลึกซึ้ง

❁ อารมณ์พิสดาร 🥀

ตามที่ได้แสดงประเภทของอารมณ์ต่างๆ มาแล้ว มีอารมณ์ ๖ ซึ่งได้แก่ รูปารมณ์ สัททารมณ์ คันธารมณ์ รสารมณ์ โผฏฐัพพารมณ์ และธรรมารมณ์ และยังจำแนกประเภทของอารมณ์ออกเป็น ๔ ประเภท โดยกามอารมณ์ มหัคคตอารมณ์ บัญญัติอารมณ์ โลกุตตรอารมณ์ เนื่องจากสภาวะของอารมณ์นั้นเป็นไปอย่างกว้างขวาง และมีชื่อเรียกได้หลายอย่างต่าง ๆ กัน โดยนัยแห่งเทศนา ฉะนั้น เมื่อจะรวบรวมประเภทของอารมณ์ต่าง ๆ นั้นโดยพิสดารแล้ว มีอยู่ ๒๑ อย่าง คือ :-

แสดงอารมณ์พิสดาร ๒๑ ประเภท

๑. กามอารมณ์ ได้แก่ กามจิต ๕๔, เจตสิก ๕๒, รูป ๒๘ ได้อารมณ์ ๖
๒. มหัคคตอารมณ์ ได้แก่ มหัคคตจิต ๒๗, เจตสิก ๓๕, ได้อารมณ์ ๑ คือ ธรรมารมณ์
๓. นิพพานอารมณ์ ได้แก่ นิพพาน ได้อารมณ์ ๑ คือ ธรรมารมณ์
๔. นามอารมณ์ ได้แก่ จิต ๘๙, เจตสิก ๕๒, นิพพาน ๑ ได้อารมณ์ ๑ คือ ธรรมารมณ์
๕. รูปอารมณ์ ได้แก่ รูป ๒๘ ได้อารมณ์ ๖
๖. ปัจจุบันอารมณ์ ได้แก่ จิต, เจตสิก, รูป ที่กำลังเกิดขึ้น ได้อารมณ์ ๖
๗. อดีตอารมณ์ ได้แก่ จิต, เจตสิก, รูป ที่ดับไปแล้ว ได้อารมณ์ ๖
๘.อนาคตอารมณ์ ได้แก่ จิต, เจตสิก, รูป ที่จะเกิดขึ้น ได้อารมณ์ ๖
๙. กาลวิมุตตอารมณ์ ได้แก่ นิพพาน, บัญญัติ ได้อารมณ์ ๑ คือ ธรรมารมณ์
๑๐. บัญญัติอารมณ์ ได้แก่ อัตถบัญญัติ, สัททบัญญัติ ได้อารมณ์ ๑ คือ ธรรมารมณ์
๑๑. ปรมัตถอารมณ์ ได้แก่ จิต, เจตสิก, รูป, นิพพาน ได้อารมณ์ ๖
๑๒. อัชฌัตตอารมณ์ ได้แก่ จิต, เจตสิก, รูป ที่เกิดขึ้นภายในตนเอง ได้อารมณ์ ๖
๑๓. พหิทธอารมณ์ ได้แก่ จิต, เจตสิก, รูป ที่เกิดขึ้นแก่ผู้อื่น และรูปที่ไม่มีชีวิต รวมทั้งนิพพาน, บัญญัติ ได้อารมณ์ ๖
๑๔. อัชฌัตตพหิทธอารมณ์ ได้แก่ จิต, เจตสิก, รูป ที่เกิดภายในตนและภายนอกตน ได้อารมณ์ ๖
๑๕. ปัญจารมณ์ ได้แก่ วิสัยรูป ๗ ได้อารมณ์ ๕
๑๖. รูปารมณ์ ได้แก่ สีต่าง ๆ
๑๗. สัททารมณ์ ได้แก่ เสียงต่างๆ
๑๘. คันธารมณ์ ได้แก่ กลิ่นต่างๆ
๑๙. รสารมณ์ ได้แก่ รสต่างๆ
๒๐. โผฏฐัพพารมณ์ ได้แก่ เย็น-ร้อน, อ่อน-แข็ง, หย่อนตึง
๒๑. ธรรมารมณ์ ได้แก่ จิต, เจตสิก, ปสาทรูป, สุขุมรูป, นิพพาน, บัญญัติ 

แสดงการจําแนกจิตที่รับอารมณ์โดยพิสดาร 🥀
โดยแน่นอน และไม่แน่นอน

🠞 ๑. กามอารมณ์

จิตที่รับกามอารมณ์ได้ มี ๕๖ ดวง คือ :-

 ก. จิตที่รับกามอารมณ์แน่นอนมี ๒๕ ดวง ได้แก่

  • ทวิปัญจวิญญาณ ๑๐ ดวง
  • มโนธาตุ ๓ ดวง
  • สันตีรณจิต ๓ ดวง
  • หสิตุปปาทจิต ๑ ดวง
  • มหาวิบากจิต ๘ ดวง
ข. จิตที่รับกามอารมณ์ไม่แน่นอนมี ๓๑ ดวง ได้แก่ 

  • อกุศลจิต ๑๒ ดวง
  • มโนทวาราวัชชนจิต ๑ ดวง
  • มหากุศลจิต ๘ ดวง
  • มหากิริยาจิต ๘ ดวง
  • อภิญญาจิต ๒ ดวง

ค. จิตที่รับกามอารมณ์ไม่ได้ มี ๓๕ ดวง ได้แก่

  • มหัคคตจิต ๒๗
  • โลกุตตรจิต ๘

🠞 ๒. มหัคคตอารมณ์ จิตที่รับมหัคคตอารมณ์ มี ๓๗ ดวง คือ :-

ก. จิตที่รับมหัคคตอารมณ์แน่นอนมี ๖ ดวง ได้แก่

  • วิญญาณัญจายตนฌานจิต ๓ ดวง
  • เนวสัญญานาสัญญายตนฌานจิต ๓ ดวง

ข. จิตที่รับมหัคคตอารมณ์ไม่แน่นอนมี ๓๑ ดวง ได้แก่

  • อกุศลจิต ๑๒ ดวง
  • มโนทวาราวัชชนจิต ๑ ดวง
  • มหากุศลจิต ๘ ดวง
  • มหากิริยาจิต ๘ ดวง
  • อภิญญาจิต ๒ ดวง

ค. จิตที่รับมหัคคตอารมณ์ไม่ได้ มี ๕๔ ดวง คือ

  • อเหตุกจิต (เว้นมโนทวาราวัชชนจิต ๑) ๑๗ ดวง
  • มหาวิบากจิต ๘ ดวง
  • รูปาวจรจิต ๑๕ ดวง
  • อากาสานัญจายตนฌานจิต ๓ ดวง
  • อากิญจัญญายตนฌานจิต ๓ ดวง
  • โลกุตตรจิต ๘ ดวง

🠞 ๓. นิพพานอารมณ์ จิตที่รับนิพพานอารมณ์ได้ มี ๑๙ ดวง คือ :-

ก. จิตที่รับนิพพานอารมณ์แน่นอนมี ๘ ดวง ได้แก่

  • โลกุตตรจิต ๘ ดวง

ข. จิตที่รับนิพพานอารมณ์ไม่แน่นอนมี ๑๑ ดวง ได้แก่

  • มโนทวาราวัชชนจิต ๑ ดวง
  • มหากุศลญาณสัมปยุตจิต ๔ ดวง
  • มหากิริยาญาณสัมปยุตจิต ๔ ดวง
  • อภิญญาจิต ๒ ดวง

ค. จิตที่รับนิพพานอารมณ์ไม่ได้ มี ๗๒ ดวง ได้แก่

  • อกุศลจิต
  • อเหตุกจิต (เว้นมโนทวาราวัชชนะ)
  • มหากุศลญาณวิปปยุตจิต
  • มหากิริยาญาณวิปปยุตจิต
  • มหาวิบากจิต
  • มหัคคตจิต

🠞 ๔. นามอารมณ์ จิตที่รับนามอารมณ์ได้ มี ๕๗ ดวง คือ :-

ก. จิตที่รับนามอารมณ์แน่นอนมี ๑๔ ดวง ได้แก่

  • โลกุตตรจิต ๘ ดวง
  • วิญญาณัญจายตนฌานจิต ๓ ดวง
  • เนวสัญญานาสัญญายตนฌานจิต ๓ ดวง

ข. จิตที่รับนามอารมณ์ไม่แน่นอนมี ๔๓ ดวง ได้แก่

  • กามจิต (เว้นทวิปัญจวิญญาณ-มโนธาตุ) ๔๑ ดวง
  • อภิญญาจิต ๒ ดวง

ค. จิตที่รับนามอารมณ์ไม่ได้ มี ๓๔ ดวง ได้แก่

  • ทวิปัญจวิญญาณ ๑๐ ดวง
  • มโนธาตุ ๓ ดวง
  • รูปาวจรจิต ๑๕ ดวง
  • อากาสานัญจายตนฌานจิต ๓ ดวง
  • อากิญจัญญายตนฌานจิต ๓ ดวง

🠞 ๕. รูปอารมณ์ จิตที่รับรูปอารมณ์ได้ มี ๕๖ ดวง คือ :-

ก. จิตที่รับรูปอารมณ์แน่นอนมี ๑๓ ดวง ได้แก่

  • ทวิปัญจวิญญาณ ๑๐ ดวง
  • มโนธาตุ ๓ ดวง

ข. จิตที่รับรูปอารมณ์ไม่แน่นอนมี ๔๓ ดวง ได้แก่

  • กามจิต (เว้นทวิปัญจวิญญาณ-มโนธาตุ) ๔๑ ดวง
  • อภิญญาจิต ๒ ดวง

ค. จิตที่รับรูปอารมณ์ไม่ได้ มี ๓๕ ดวง ได้แก่

  • มหัคคตจิต ๒๗ ดวง
  • โลกุตตรจิต ๘ ดวง

🠞 ๖. ปัจจุบันอารมณ์ จิตที่รับปัจจุบันอารมณ์ได้ มี ๕๖ ดวง คือ :-

ก. จิตที่รับปัจจุบันอารมณ์แน่นอนมี ๑๓ ดวง ได้แก่

  • ทวิปัญจวิญญาณ ๑๐ ดวง
  • มโนธาตุ ๓ ดวง

ข. จิตที่รับปัจจุบันอารมณ์ไม่แน่นอนมี ๔๓ ดวง ได้แก่

  • กามจิต (เว้นทวีปัญจวิญญาณ -มโนธาตุ) ๔๑ ดวง
  • อภิญญาจิต ๒ ดวง

ค. จิตที่รับปัจจุบันอารมณ์ไม่ได้ มี ๓๕ ดวง ได้แก่

  • มหัคคตจิต ๒๗ ดวง
  • โลกุตตรจิต ๘ ดวง

🠞 ๗. อดีตอารมณ์ จิตที่รับอดีตอารมณ์ได้ มี ๔๙ ดวง คือ :-

ก. จิตที่รับอดีตอารมณ์แน่นอนมี ๖ ดวง ได้แก่

  • วิญญาณัญจายตนฌานจิต ๓ ดวง
  • เนวสัญญานาสัญญายตนฌานจิต ๓ ดวง

ข. จิตที่รับอดีตอารมณ์ไม่แน่นอนมี ๔๓ ดวง ได้แก่

  • กามจิต (เว้นทวีปัญจวิญญาณ -มโนธาตุ) ๔๑ ดวง
  • อภิญญาจิต ๒ ดวง

ค. จิตที่รับอดีตอารมณ์ไม่ได้ มี ๔๒ ดวง ได้แก่

  • ทวิปัญจวิญญาณ ๑๐ ดวง
  • มโนธาตุ ๓ ดวง
  • รูปาวจรจิต ๑๕ ดวง
  • อากาสานัญจายตนฌานจิต ๓ ดวง
  • อากิญจัญญายตนฌานจิต ๓ ดวง
  • โลกุตตรจิต ๘ ดวง

🠞 ๘. อนาคตอารมณ์ จิตที่รับอนาคตอารมณ์ได้ มี ๔๓ ดวง คือ :-

ก. จิตที่รับอนาคตอารมณ์แน่นอน - ไม่มี 
ข. จิตที่รับอนาคตอารมณ์ไม่แน่นอนมี ๔๓ ดวง ได้แก่

  • กามจิต (เว้นทวิปัญจวิญญาณ-มโนธาตุ) ๔๑ ดวง
  • อภิญญาจิต ๒ ดวง

ค. จิตที่รับอนาคตอารมณ์ไม่ได้ มี ๔๘ ดวง ได้แก่

  • ทวิปัญจวิญญาณ ๑๐ ดวง
  • มโนธาตุ ๓ ดวง
  • มหัคคตจิต ๒๗ ดวง
  • โลกุตตรจิต ๘ ดวง

🠞 ๙. กาลวิมุตตอารมณ์ จิตที่รับกาลวิมุตตอารมณ์ได้ มี ๖๐ ดวง คือ :-

ก. จิตที่รับกาลวิมุตตอารมณ์แน่นอนมี ๒๙ ดวง ได้แก่

  • รูปาวจรจิต ๑๕ ดวง
  • อากาสานัญจายตนฌานจิต ๓ ดวง
  • อากิญจัญญายตนฌานจิต ๓ ดวง
  • โลกุตตรจิต ๘ ดวง

ข. จิตที่รับกาลวิมุตตอารมณ์ไม่แน่นอนมี ๓๑ ดวง ได้แก่

  • อกุศลจิต ๑๒ ดวง
  • มโนทวาราวัชชนจิต ๑ ดวง
  • มหากุศลจิต ๘ ดวง
  • มหากิริยาจิต ๑๒ ดวง
  • อภิญญาจิต ๑๒ ดวง

ค. จิตที่รับกาลวิมุตตอารมณ์ไม่ได้ มี ๓๑ ดวง ได้แก่

  • อเหตุกจิต (เว้นมโนทวาราวัชชนจิต) ๑๗ ดวง
  • มหาวิบากจิต ๘ ดวง
  • วิญญาณัญจายตนฌานจิต ๓ ดวง
  • เนวสัญญานาสัญญายตนฌานจิต ๓ ดวง

🠞 ๑๐. บัญญัติอารมณ์ จิตที่รับบัญญัติอารมณ์ได้ มี ๕๒ ดวง คือ :-

ก. จิตที่รับบัญญัติอารมณ์แน่นอนมี ๒๑ ดวง ได้แก่

  • รูปาวจรจิต ๑๕ ดวง
  • อากาสานัญจายตนฌานจิต ๓ ดวง
  • อากิญจัญญายตนฌานจิต ๓ ดวง

ข. จิตที่รับบัญญัติอารมณ์ไม่แน่นอนมี ๓๑ ดวง ได้แก่

  • อกุศลจิต ๑๒ ดวง
  • มโนทวาราวัชชนจิต ๑ ดวง
  • มหากุศลจิต ๘ ดวง
  • มหากิริยาจิต ๘ ดวง
  • อภิญญาจิต ๒ ดวง

ค. จิตที่รับบัญญัติอารมณ์ไม่ได้ มี ๓๙ ดวง คือ

  • อเหตุกจิต (มโนทวาราวัชชนะ) ๑๗ ดวง
  • มหาวิบากจิต ๘ ดวง
  • วิญญาณัญจายตนฌานจิต ๓ ดวง
  • เนวสัญญานาสัญญายตนฌานจิต ๓ ดวง
  • โลกุตตรจิต ๘ ดวง

🠞 ๑๑. ปรมัตถอารมณ์ จิตที่รับปรมัตถอารมณ์ได้ มี ๗๐ ดวง คือ :-

ก. จิตที่รับปรมัตถอารมณ์แน่นอนมี ๓๙ ดวง ได้แก่

  • อเหตุกจิต (เว้นมโนทวาราวัชชนะ) ๑๗ ดวง
  • มหาวิบากจิต ๘ ดวง
  • วิญญาณัญจายตนฌานจิต ๓ ดวง
  • เนวสัญญานาสัญญายตนฌานจิต ๓ ดวง
  • โลกุตตรจิต ๘ ดวง

ข. จิตที่รับปรมัตถ์อารมณ์ไม่แน่นอนมี ๓๑ ดวง ได้แก่ :-

  • อกุศลจิต ๘ ดวง
  • มโนทวาราวัชชนจิต ๘ ดวง
  • มหากุศลจิต ๘ ดวง
  • มหากิริยาจิต ๘ ดวง
  • อภิญญาจิต ๘ ดวง

ค. จิตที่รับปรมัตถอารมณ์ไม่ได้ มี ๒๑ ดวง ได้แก่ :-

  • รูปาวจรจิต ๑๕ ดวง
  • อากาสานัญจายตนฌานจิต ๓ ดวง
  • อากิญจัญญายตนฌานจิต ๓ ดวง

🠞 ๑๒. อัชฌัตตอารมณ์ จิตที่รับอัชฌัตตอารมณ์ได้ มี ๖๒ ดวง คือ :-

ก. จิตที่รับอัชฌัตตอารมณ์แน่นอนมี ๖ ดวง ได้แก่

  • วิญญาณัญจายตนฌานจิต ๓ ดวง
  • เนวสัญญานาสัญญายตนฌานจิต ๓ ดวง

ข. จิตที่รับอัชฌัตตอารมณ์ไม่แน่นอนมี ๕๖ ดวง ได้แก่

  • กามจิต ๕๔ ดวง
  • อภิญญาจิต ๒ ดวง

ค. จิตที่รับอัชฌัตตอารมณ์ไม่ได้ มี ๒๙ ดวง ได้แก่

  • รูปาวจรจิต ๑๕ ดวง
  • อากาสานัญจายตนฌานจิต ๓ ดวง
  • อากิญจัญญายตนฌานจิต ๓ ดวง
  • โลกุตตรจิต ๘ ดวง

🠞 ๑๓. พหิทธอารมณ์ จิตที่รับพหิทธอารมณ์ได้ มี ๘๒ ดวง คือ :-

ก. จิตที่รับพหุทธอารมณ์แน่นอนมี ๒๖ ดวง ได้แก่

  • รูปาวจรจิต ๑๕ ดวง
  • อากาสานัญจายตนฌานจิต ๓ ดวง
  • โลกุตตรจิต ๘ ดวง

ข. จิตที่รับพหุทธอารมณ์ไม่แน่นอนมี ๕๖ ดวง ได้แก่

  • กามจิต ๕๔ ดวง
  • อภิญญาจิต ๒ ดวง

ค. จิตที่รับพหุทธอารมณ์ไม่ได้ มี ๙ ดวง ได้แก่

  • วิญญาณัญจายตนฌานจิต ๓ ดวง
  • อากิญจัญญายตนฌานจิต ๓ ดวง
  • เนวสัญญานาสัญญายตนฌานจิต ๓ ดวง


🠞 ๑๔. อัชฌัตตพหิทธอารมณ์ จิตที่รับอัชฌัตตพหิทธอารมณ์ได้ มี ๕๖ ดวง คือ :-

ก. จิตที่รับอัชฌัตตพหิทธอารมณ์แน่นอน - ไม่มี
ข. จิตที่รับอัชฌัตตพหิทธอารมณ์ไม่แน่นอน มี ๕๖ ดวง ได้แก่

  • กามจิต ๕๔ ดวง
  • อภิญญาจิต ๒ ดวง

ค. จิตที่รับอัชฌัตตพหิทธอารมณ์ไม่ได้ มี ๓๕ ดวง ได้แก่

  • มหัคคตจิต ๒๗ ดวง
  • โลกุตตรจิต ๘ ดวง

🠞 ๑๕. ปัญจารมณ์ จิตที่รับปัญจารมณ์ได้ มี ๔๖ ดวง คือ :-

ก. จิตที่รับปัญจารมณ์แน่นอนมี ๓ ดวง ได้แก่

  • มโนธาตุ ๓ ดวง

ข. จิตที่รับปัญจารมณ์ไม่แน่นอนมี ๔๓ ดวง ได้แก่

  • กามจิต (เว้นทวิปัญจ. - มโนธาตุ) ๔๑ ดวง
  • อภิญญาจิต ๒ ดวง

ค. จิตที่รับปัญจารมณ์ไม่ได้ มี ๔๕ ดวง ได้แก่

  • ทวิปัญจวิญญาณ ๑๐ ดวง
  • มหัคคตจิต ๒๗ ดวง
  • โลกุตตรจิต ๘ ดวง

🠞 ๑๖. รูปารมณ์ จิตที่รับรูปารมณ์ได้ มี ๔๘ ดวง คือ :-

ก. จิตที่รับรูปารมณ์แน่นอนมี ๒ ดวง ได้แก่

  • จักขุวิญญาณ ๒ ดวง

ข. จิตที่รับรูปารมณ์ไม่แน่นอนมี ๔๖ ดวง ได้แก่

  • กามจิต (เว้นทวิปัญจวิญญาณ) ๔๔ ดวง
  • อภิญญาจิต ๒ ดวง

ค. จิตที่รับรูปารมณ์ไม่ได้ มี ๔๓ ดวง ได้แก่

  • โสตวิญญาณ ๒ ดวง
  • ฆานวิญญาณ ๒ ดวง
  • ชิวหาวิญญาณ ๒ ดวง
  • กายวิญญาณ ๒ ดวง
  • มหัคคตจิต ๒๗ ดวง
  • โลกุตตรจิต ๘ ดวง


🠞 ๑๗. สัททารมณ์ จิตที่รับสัททารมณ์ได้ มี ๔๘ ดวง คือ :-

ก. จิตที่รับสัททารมณ์แน่นอนมี ๒ ดวง ได้แก่

  • โสตวิญญาณ ๒ ดวง

ข. จิตที่รับสัททารมณ์ไม่แน่นอนมี ๔๖ ดวง ได้แก่

  • กามจิต (เว้นทวิปัญจวิญญาณ) ๔๔ ดวง
  • อภิญญาจิต ๒ ดวง

ค. จิตที่รับสัททารมณ์ไม่ได้ มี ๔๓ ดวง ได้แก่

  • จุกขุวิญญาณ ๒ ดวง
  • ฆานวิญญาณ ๒ ดวง
  • ชิวหาวิญญาณ ๒ ดวง
  • กายวิญญาณ ๒ ดวง
  • มหัคคตจิต ๒๗ ดวง
  • โลกุตตรจิต ๘ ดวง


🠞 ๑๘. คันธารมณ์ จิตที่รับคันธารมณ์ได้ มี ๔๘ ดวง คือ :-

ก. จิตที่รับคันธารมณ์แน่นอนมี ๒ ดวง ได้แก่

  • ฆานวิญญาณ ๒ ดวง

ข. จิตที่รับคันธารมณ์ไม่แน่นอนมี ๔๖ ดวง ได้แก่

  • กามจิต (เว้นทวิปัญจวิญญาณ) ๔๔ ดวง
  • อภิญญาจิต ๒ ดวง

ค. จิตที่รับคันธารมณ์ไม่ได้ มี ๔๓ ดวง ได้แก่

  • จักขุวิญญาณ ๒ ดวง
  • โสตวิญญาณ ๒ ดวง
  • ชิวหาวิญญาณ ๒ ดวง
  • กายวิญญาณ ๒ ดวง
  • มหัคคตจิต ๒๗ ดวง
  • โลกุตตรจิต ๘ ดวง


🠞 ๑๘. คันธารมณ์ จิตที่รับคันธารมณ์ได้ มี ๔๘ ดวง คือ :-

ก. จิตที่รับคันธารมณ์แน่นอนมี ๒ ดวง ได้แก่

  • ฆานวิญญาณ ๒ ดวง

ข. จิตที่รับคันธารมณ์ไม่แน่นอนมี ๔๖ ดวง ได้แก่

  • กามจิต (เว้นทวิปัญจวิญญาณ) ๔๔ ดวง
  • อภิญญาจิต ๒ ดวง

ค. จิตที่รับคันธารมณ์ไม่ได้ มี ๔๓ ดวง ได้แก่

  • จักขุวิญญาณ ๒ ดวง
  • โสตวิญญาณ ๒ ดวง
  • ชิวหาวิญญาณ ๒ ดวง
  • กายวิญญาณ ๒ ดวง
  • มหัคคตจิต ๒๗ ดวง
  • โลกุตตรจิต ๘ ดวง

🠞 ๑๙. รสารมณ์ จิตที่รับรสารมณ์ได้ มี ๔๘ ดวง คือ :-

ก. จิตที่รับรสารมณ์แน่นอนมี ๒ ดวง ได้แก่

  • ชิวหาวิญญาณ ๒ ดวง

ข. จิตที่รับรสารมณ์ไม่แน่นอนมี ๔๖ ดวง ได้แก่

  • กามจิต (เว้นทวิปัญจวิญญาณ) ๔๔ ดวง
  • อภิญญาจิต ๒ ดวง

ค. จิตที่รับรสารมณ์ไม่ได้ มี ๔๓ ดวง ได้แก่

  • จักขุวิญญาณ ๒ ดวง
  • โสตวิญญาณ ๒ ดวง
  • ฆานวิญญาณ ๒ ดวง
  • กายวิญญาณ ๒ ดวง
  • มหัคคตจิต ๒๗ ดวง
  • โลกุตตรจิต ๘ ดวง

🠞 ๒๐. โผฎฐัพพารมณ์ จิตที่รับโผฎฐัพพารมณ์ได้ มี ๔๘ ดวง คือ :-

ก. จิตที่รับโผฎฐัพพารมณ์น่นอนมี ๒ ดวง ได้แก่

  • กายวิญญาณ ๒ ดวง

ข. จิตที่รับโผฎฐัพพารมณ์ไม่แน่นอนมี ๔๖ ดวง ได้แก่

  • กามจิต (เว้นทวิปัญจวิญญาณ) ๔๔ ดวง
  • อภิญญาจิต ๒ ดวง

ค. จิตที่รับโผฎฐัพพารมณ์ไม่ได้ มี ๔๓ ดวง ได้แก่

  • จักขุวิญญาณ ๒ ดวง
  • โสตวิญญาณ ๒ ดวง
  • ฆานวิญญาณ ๒ ดวง
  • ชิวหาวิญญาณ ๒ ดวง
  • มหัคคตจิต ๒๗ ดวง
  • โลกุตตรจิต ๘ ดวง


🠞 ๒๑. ธรรมารมณ์ จิตที่รับธรรมารมณ์ได้ มี ๗๘ ดวง คือ :-

ก. จิตที่รับธรรมารมณ์แน่นอนมี ๓๕ ดวง ได้แก่

  • มหัคคตจิต ๒๗ ดวง
  • โลกุตตรจิต ๘ ดวง

ข. จิตที่รับธรรมารมณ์ไม่แน่นอนมี ๔๓ ดวง ได้แก่

  • กามจิต (เว้นทวิปัญจวิญญาณ, มโนธาตุ) ๔๑ดวง
  • อภิญญาจิต ๒ ดวง

ค. จิตที่รับธรรมารมณ์ไม่ได้ มี ๑๓ ดวง ได้แก่

  • ทวิปัญจวิญญาณ ๑๐ ดวง
  • มโนธาตุ ๓ ดวง



การรับอารมณ์ของจิต


เราได้ทราบแล้วว่า “จิต” นั้น เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งซึ่งรู้อารมณ์ จิตที่เกิดขึ้นทุกขณะ ย่อมต้องมีอารมณ์เสมอและจิตที่เกิดขณะหนึ่ง ๆ ย่อมมีอารมณ์ได้อย่างเดียวเท่านั้น จะมีอารมณ์หลายๆ อย่างในขณะจิตเดียวกัน หาได้ไม่ แต่การรับอารมณ์ของจิตนั้น จิตบางดวง ไม่ว่าจะเกิดขึ้นในขณะใดก็ตามก็จะรับแต่อารมณ์เฉพาะอย่างนั้นอย่างเดียว รับอารมณ์อย่างอื่นไม่ได้ แต่ก็มีจิตหลายดวงที่อาจรับอารมณ์อย่างอื่นก็ได้ ซึ่งเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า จิตมีอารมณ์ได้หลายอย่าง

ฉะนั้น ต่อไปนี้ จะได้แสดงถึงการรับอารมณ์ของจิตทั้งที่มีอารมณ์ได้หลายอย่าง และที่มีอารมณ์อย่างเดียว คือ :-

๑. จิตที่รับอารมณ์ได้อย่างเดียว    มี ๒๘ ดวง
๒. จิตที่รับอารมณ์ได้ ๒ อย่าง    มี ๒ ดวง
๓. จิตที่รับอารมณ์ได้ ๕ อย่าง    มี ๓ ดวง
๔. จิตที่รับอารมณ์ได้ ๖ อย่าง    มี ๔๓ ดวง
๕. จิตที่รับอารมณ์ได้ ๑๒ อย่าง    มี ๓ ดวง
๖. จิตที่รับอารมณ์ได้ ๑๔ อย่าง    มี ๙ ดวง
๗. จิตที่รับอารมณ์ได้ ๒๕ อย่าง    มี ๓ ดวง



 อธิบาย 
๑. จิตที่รับอารมณ์ได้อย่างเดียว มี ๒๘ ดวง คือ :-

จุกขุวิญญาณ ๒ มีอารมณ์อย่างเดียว คือ รูปารมณ์ ที่เป็นปัจจุบัน 
โสตวิญญาณ ๒ มีอารมณ์อย่างเดียว คือ สัททารมณ์ ที่เป็นปัจจุบัน
ฆานวิญญาณ ๒ คือ มีอารมณ์อย่างเดียว คันธารมณ์ ที่เป็นปัจจุบัน
ชิวหาวิญญาณ ๒ คือ มีอารมณ์อย่างเดียว รสารมณ์ ที่เป็นปัจจุบัน
กายวิญญาณ ๒ คือ มีอารมณ์อย่างเดียว โผฏฐัพพารมณ์ ที่เป็นปัจจุบัน

อากาสานัญจายตนฌานจิต ๓ มีอารมณ์อย่างเดียว คือ กสิณคฆาฏิมากาสบัญญัติ
อากิญจัญญายตนฌานจิต ๓ มีอารมณ์อย่างเดียว คือ นัตถิภาวบัญญัติ
วิญญาณัญจายตนกุศลจิต ๑ วิญญาณัญจายตนวิบากจิต ๑ มีอารมณ์อย่างเดียว คือ อากาสานัญจายตนกุศลที่เคยเกิดมาแล้วแก่ตนในภพนี้และภพก่อน
เนวสัญญานาสัญญายตนกุศลจิต ๑ เนวสัญญานาสัญญายตนวิบากจิต ๑ มีอารมณ์อย่างเดียว คืออากิญจัญญายตนฌานกุศลที่เคยเกิดมาแล้วแก่ตนในภพนี้ และภพก่อน

โลกุตตรจิต ๘ มีอารมณ์อย่างเดียว คือ นิพพาน

๒.จิตที่รับอารมณ์ได้ ๒ อย่าง มี ๒ ดวง คือ :-

วิญญาณัญจายตนกิริยาจิต ๑ มีอารมณ์ ๒ อย่าง คือ :-

  • อากาสานัญจายตนกุศล ที่เคยเกิดแก่ตนแล้ว ในภพนี้หรือภพก่อน
  • อากาสานัญจายตนกิริยา ที่เคยเกิดมาแล้วแก่ตน ในภพนี้

เนวสัญญานาสัญญายตนกิริยาจิต ๑ มีอารมณ์ ๒ อย่าง คือ :-

  • อากิญจัญญายตนกุศล ที่เคยเกิดมาแล้วแก่ตน ในภพนี้ หรือภพก่อน
  • อากิญจัญญายตนกิริยา ที่เคยเกิดมาแล้วแก่ตน ในภพนี้

๓. จิตที่รับอารมณ์ได้ ๕ อย่าง มี ๓ ดวง คือ :-

มโนธาตุ ๓
  • ปัญจทวาราวัชชนจิต ๑ สัมปฏิจฉนจิต ๒ มีอารมณ์ ๕ อย่าง คือ รูปารมณ์, สัททารมณ์, คันธารมณ์, รสารมณ์, โผฏฐัพพารมณ์

๔. จิตที่รับอารมณ์ได้ ๖ อย่าง มี ๔๓ ดวง คือ :-

มโนทวาราวัชชนจิต ๑ ตทาลัมพนจิต ๑๑ กามชวนจิต ๒๙ อภิญญาจิต ๒ มีอารมณ์ ๖ อย่าง คือ รูปารมณ์, สัททารมณ์, คันธารมณ์, รสารมณ์, โผฏฐัพพารมณ์, ธรรมารมณ์

๕. จิตที่รับอารมณ์ได้ ๑๒ อย่าง มี ๓ ดวง คือ :-

รูปาวจรปัญจมฌานจิต ๓ มีอารมณ์ ๑๒ อย่าง คือ กสิณบัญญัติ ๑๐, อานาปานบัญญัติ ๑, มัชฌัตตสัตวบัญญัติ (อุเบกขาพรหมวิหาร) ๑

๖. จิตที่รับอารมณ์ได้ ๑๔ อย่าง มี ๙ ดวง คือ :-

รูปาวจรทุติยฌานจิต ๓ รูปาวจรตติยฌานจิต ๓ รูปาวจรจตุตถฌานจิต ๓ มีอารมณ์ ๑๔ อย่าง คือ กสิณบัญญัติ ๑๐, อานาปานบัญญัติ ๑, ปิยมนาปสัตวบัญญัติ (เมตตา) ๑, ทุกข์ตสัตวบัญญัติ (กรุณา)๑, สุขิตสัตวบัญญัติ (มุทิตา)๑ ,

๗.จิตที่รับอารมณ์ได้ ๒๕ อย่าง มี ๓ ดวง คือ :-

รูปาวจรปฐมฌานจิต ๓ มีอารมณ์ ๒๕ อย่าง คือ กสิณบัญญัติ ๑๐, อสุภบัญญัติ ๑๐, โกฏฐาสบัญญัติ (กายคตาสติ)๑, อานาปานบัญญัติ ๑, ปิยมนาปสัตวบัญญัติ ๑, ทุกข์ตสัตวบัญญัติ ๑, สุขิตสัตวบัญญัติ ๑

🔆เจตสิก กับ อารมณ์ 🔆🌳

จิตเป็นธรรมชาติที่รู้อารมณ์ และการปรากฏขึ้นของจิตนั้น ย่อมประกอบพร้อมกับเจตสิก โดยเจโตยุตตลักขณะ คือ เจตสิกนั้น ย่อมเกิดขึ้นพร้อมกันกับจิต เอกุปปาทะ ดับพร้อมกันกับจิต เอกนิโรธะ มีอารมณ์อันเดียวกันกับจิต เอกาลัมพนะ และมีที่อาศัยอันเดียวกันกับจิต เอกวัตถุกะ ฉะนั้น เจตสิกธรรมทั้งหลายนั้นย่อมมีการรับอารมณ์ได้เช่นเดียวกันกับจิต เมื่อจิตรับรู้อารมณ์อันใดเจตสิกที่ประกอบกับจิตก็ย่อมจะต้องรับรู้อารมณ์อันนั้นด้วย เมื่อจำแนกการรับอารมณ์โดยทั่วไปของเจตสิกแล้ว อาจจำแนกได้ดังนี้ คือ :-

  • เจตสิก ๕๐ (เว้นอัปปมัญญา) รับ ปัญจารมณ์
  • เจตสิก ๕๒ รับ ธรรมารมณ์
  • อกุศลเจตสิก ๑๔ รับ อารมณ์ ๖ ที่เป็นโลกียะและบัญญัติ
  • อิสสาเจตสิก ๑ รับ อารมณ์ ๖ ที่เป็น พหิทธารมณ์
  • วิรตี (โลกียะ) ๓ รับ อารมณ์ ๖ ที่เป็น กามอารมณ์
  • วิรตี (โลกุตตระ) ๓ รับ อารมณ์ คือนิพพาน
  • อัปปมัญญาเจตสิก ๒ รับ ธรรมารมณ์ ที่เป็น บัญญัติอารมณ์ (สัตว์) และพหิทธารมณ์
  • อัญญสมานาเจตสิก ๑๓ โสภณสาธารณเจตสิก ๑๙ ปัญญาเจตสิก ๑ รับ อารมณ์ ๖ ที่เป็นโลกียะ, โลกุตตระ, อดีต, ปัจจุบัน, อนาคต, กาลวิมุต, อัชฌัตตะ และพหิทธะ

จําแนกเจตสิกรับอารมณ์ ๒๑ โดยแน่นอน และ ไม่แน่นอน

  • ๑. เจตสิกที่รับ กามอารมณ์ โดยแน่นอนไม่มี
  • ๒. เจตสิกที่รับ กามอารมณโดยไม่แน่นอน มี ๕๐ (เว้นอัปปมัญญา ๒)     
  • ๓. เจตสิกที่รับ มหัคคตอารมณ์ โดยแน่นอนไม่มี
  • ๔. เจตสิกที่รับ มหัคคตอารมณ์ โดยไม่แน่นอน มี ๔๗ (เว้นวิรตี ๓ อัปปมัญญา ๒)
  • ๕. เจตสิกที่รับ นิพพานอารมณ์ โดยแน่นอน ไม่มี
  • ๖.  เจตสิกที่รับ นิพพานอารมณ์ โดยไม่แน่นอน มี ๓๖ คือ อัญญสมานาเจตสิก ๑๓ โสภณเจตสิก ๒๓ (เว้นอัปปมัญญา ๒)
  • ๗. เจตสิกที่รับ นามอารมณ์ โดยแน่นอน ไม่มี
  • ๘. เจตสิกที่รับ นามอารมณ์ โดยไม่แน่นอน มี ๕๐ ดวง (เว้นอัปปมัญญา ๒)
  • ๙. เจตสิกที่รับ รูปอารมณ์ โดยแน่นอน ไม่มี
  • ๑๐. เจตสิกที่รับ รูปอารมณ์ โดยไม่แน่นอน มี ๕๐ ดวง (เว้นอัปปมัญญา ๒)
  • ๑๑. เจตสิกที่รับ ปัจจุบันอารมณ์ โดยแน่นอน ไม่มี
  • ๑๒. เจตสิกที่รับ ปัจจุบันอารมณ์ โดยไม่แน่นอน มี ๕๐ ดวง (เว้นอัปปมัญญา ๒)
  • ๑๓. เจตสิกที่รับ อดีตอารมณ์ โดยแน่นอน ไม่มี
  • ๑๔. เจตสิกที่รับ อดีตอารมณ์ โดยไม่แน่นอน มี ๔๗ ดวง (เว้นวิรตี ๓, อัปปมัญญา ๒)
  • ๑๕. เจตสิกที่รับ อนาคตอารมณ์ โดยแน่นอน ไม่มี
  • ๑๖. เจตสิกที่รับ อนาคตอารมณ์ โดยไม่แน่นอน มี ๕๐ ดวง (เว้นอัปปมัญญา ๒)
  • ๑๗. เจตสิกที่รับ กาลวิมุตตอารมณ์ โดยแน่นอน มี ๒ ดวง คือ อัปปมัญญา ๒
  • ๑๘. เจตสิกที่รับ กาลวิมุตตอารมณ์ โดยไม่แน่นอน มี ๕๐ ดวง (เว้นอัปปมัญญา ๒)
  • ๑๙. เจตสิกที่รับ บัญญัติอารมณ์ โดยแน่นอน มี ๒ ดวง คือ อัปปมัญญา ๒
  • ๒๐. เจตสิกที่รับ บัญญัติอารมณ์ โดยไม่แน่นอน ๔๗ ดวง (เว้นวิรตี ๓, อัปปมัญญา ๒)
  • ๒๑. เจตสิกที่รับ ปรมัตถอารมณ์ โดยแน่นอน มี ๓ ดวง คือ วิรตี ๓
  • ๒๒. เจตสิกที่รับ ปรมัตถอารมณ์ โดยไม่แน่นอน มี ๔๗ ดวง (เว้นวิรตี ๓, อัปปมัญญา ๒)
  • ๒๓. เจตสิกที่รับ อัชฌัตตอารมณ์ โดยแน่นอน ไม่มี
  • ๒๔. เจตสิกที่รับ อัชฌัตตอารมณ์ โดยไม่แน่นอน มี ๔๙ ดวง (เว้นอิสสา ๑, อัปปมัญญา ๒)
  • ๒๕. เจตสิกที่รับ พหิทธอารมณ์ โดยแน่นอน มี ๓ ดวง คือ อิสสา ๑, อัปปมัญญา ๒
  • ๒๖. เจตสิกที่รับ พหิทธอารมณ์ โดยไม่แน่นอน มี ๔๙ ดวง (เว้นอิสสา ๑, อัปปมัญญา ๒)
  • ๒๗. เจตสิกที่รับ อัชฌัตตพหิทธอารมณ์ โดยแน่นอน ไม่มี
  • ๒๘. เจตสิกที่รับ อัชฌัตตพหิทธอารมณ์ โดยไม่แน่นอน มี ๔๙ ดวง (เว้นอิสสา ๑, อัปปมัญญา ๒)
  • ๒๙. เจตสิกที่รับ รูปารมณ์, สัททารมณ์, คันธารมณ์, รสารมณ์, โผฏฐัพพารมณ์ โดยแน่นอน ไม่มี
  • ๓๐. เจตสิกที่รับ รูปารมณ์, สัททารมณ์, คันธารมณ์, รสารมณ์, โผฏฐัพพารมณ์ โดยไม่แน่นอน มี ๕๐ ดวง (เว้นอัปปมัญญา ๒)
  • ๓๑. เจตสิกที่รับ ปัญจารมณ์ โดยแน่นอน ไม่มี
  • ๓๒. เจตสิกที่รับ ปัญจารมณ์ โดยไม่แน่นอน มี ๕๐ ดวง (เว้นอัปปมัญญา ๒)
  • ๓๓. เจตสิกที่รับ ธรรมารมณ์ โดยแน่นอน มี ๒ ดวง คือ อัปปมัญญาเจตสิก ๒
  • ๓๔. เจตสิกที่รับ ธรรมารมณ์ โดยไม่แน่นอน มี ๕๐ ดวง (เว้นอัปปมัญญา ๒)




แสงธรรมนำทาง...

สคริปเก่า