
ประมาณปี พ.ศ. ๑๒๐๐ มีพระเถระผู้ทรงความรู้ในพระไตรปิฎกคัมภีร์หลักในพระพุทธศาสนา แบ่งเป็น ๓ ปิฎกคือ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎกท่านหนึ่งมีนามว่า พระอนุรุทธเถระ (พระอนุรุทธาจารย์)พระเถระชาวอินเดียใต้ ผู้รจนาคัมภีร์พระอภิธัมมัตถสังคหะ ท่านเป็นชาวกาวิลกัญจิ แขวงเมืองมัทราช ภาคใต้ของประเทศอินเดีย ท่านได้มาศึกษาพระอภิธรรมส่วนที่ ๓ ของพระไตรปิฎก ว่าด้วยปรมัตถธรรมล้วนๆ คือ จิต เจตสิก รูป นิพพานอยู่ที่สำนักวัดตุมูลโสมาราม เมืองอนุราธบุรี ประเทศลังกา จนมีความแตกฉานและได้รับยกย่องว่าเป็นปราชญ์ทางพระอภิธรรมท่านหนึ่ง ต่อมาท่านได้รับอาราธนาจากนัมพะอุบาสกผู้เป็นทายกให้ช่วยเรียบเรียงพระอภิธรรมปิฎกตะกร้าหรือหมวดแห่งพระอภิธรรม ประกอบด้วย ๗ คัมภีร์ ซึ่งเป็นคัมภีร์ที่ละเอียดลึกซึ้งมากนั้นให้สั้นและง่ายเพื่อสะดวกแก่การศึกษาและจดจำ ด้วยความมุ่งหมายที่จะให้เป็นประโยชน์แก่นักศึกษาพระอภิธรรมทั้งหลายในอนาคต พระอนุรุทธาจารย์ได้อาศัยพระอภิธรรมปิฎกทั้ง ๗ คัมภีร์มาเป็นหลักในการเรียบเรียงพระอภิธรรมฉบับย่อและเรียกชื่อคัมภีร์นี้ว่า พระอภิธัมมัตถสังคหะชื่อคัมภีร์ที่พระอนุรุทธาจารย์รวบรวมเนื้อความย่อของพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ไว้ เป็นคู่มือศึกษาพระอภิธรรม
📜ความหมายและโครงสร้างของพระอภิธัมมัตถสังคหะ
อภิธัมมัตถสังคหะ แยกออกเป็น:
- อภิ
- = อันประเสริฐยิ่ง
- ธัมมะ
- = สภาพที่ทรงไว้ไม่มีการผิดแปลกแปรผัน
- อัตถะ
- = เนื้อความ
- สัง
- = โดยย่อ
- คหะ
- = รวบรวม
อภิธัมมัตถสังคหะ จึงหมายถึงคัมภีร์ซึ่งรวบรวมเนื้อความของพระอภิธรรมทั้ง ๗ คัมภีร์ไว้โดยย่อ อันเปรียบเสมือนแบบเรียนเร็ว พระอภิธรรมแบ่งเป็น ๙ ปริจเฉท๙ ตอน หรือ ๙ บท ของคัมภีร์พระอภิธัมมัตถสังคหะ (๙ ตอน) แต่ละปริจเฉทมีเนื้อหาโดยสรุปดังนี้:
ปริจเฉทที่ ๑ จิตตสังคหวิภาค
แสดงเรื่องธรรมชาติของจิตสภาวะที่รู้อารมณ์ เป็นนามธรรม เป็นประธานในการรู้ ประเภทของจิต ทั้งโดยย่อและโดยพิสดาร ทำให้เข้าใจถึงจิตประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกุศลจิตจิตที่ดีงาม ที่เป็นบุญ อกุศลจิตจิตที่ไม่ดีงาม ที่เป็นบาป วิบากจิตจิตที่เป็นผลของกรรม กิริยาจิตจิตของพระอรหันต์และจิตที่ไม่ใช่บุญไม่ใช่บาป มหัคคตจิตจิตที่ถึงความเป็นใหญ่ คือ รูปาวจรจิตและอรูปาวจรจิต (จิตในฌานสมาบัติ) และโลกุตตรจิตจิตที่พ้นจากโลก ได้แก่ มรรคจิตและผลจิต
ปริจเฉทที่ ๒ เจตสิกสังคหวิภาค
แสดงเรื่องเจตสิกสภาวธรรมที่เกิดร่วมกับจิต ดับพร้อมจิต รู้อารมณ์เดียวกับจิต และอาศัยวัตถุเดียวกับจิต คือธรรมชาติที่ประกอบกับจิตเพื่อปรุงแต่งจิต มีทั้งหมด ๕๒ ลักษณะเจตสิกมีทั้งหมด ๕๒ ดวง แบ่งเป็น อัญญสมานาเจตสิก ๑๓, อกุศลเจตสิก ๑๔, โสภณเจตสิก ๒๕ แบ่งเป็น เจตสิกที่ประกอบกับจิตได้ทุกประเภท เจตสิกฝ่ายกุศลและเจตสิกฝ่ายอกุศล
ปริจเฉทที่ ๓ ปกิณณกสังคหวิภาค
แสดงการนำจิตและเจตสิกมาสัมพันธ์กับธรรม ๖ หมวด ได้แก่:
- ความรู้สึกของจิต (เวทนาการเสวยอารมณ์ สุข ทุกข์ หรือเฉยๆ)
- เหตุแห่งความดีความชั่ว (เหตุมูลรากของกุศลธรรมและอกุศลธรรม มี ๖ อย่างคือ โลภะ โทสะ โมหะ อโลภะ อโทสะ อโมหะ)
- หน้าที่ของจิต (กิจหน้าที่ของจิต ๑๔ อย่าง เช่น ปฏิสนธิกิจ ภวังคกิจ อาวชนกิจ เป็นต้น)
- ทางรับรู้ของจิต (ทวารประตูหรือทางรับรู้อารมณ์ มี ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ)
- สิ่งที่จิตรู้ (อารมณ์สิ่งที่จิตไปยึดหน่วงหรือรับรู้ เช่น รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์)
- ที่ตั้งที่อาศัยของจิต (วัตถุที่อาศัยเกิดของจิต มี ๖ คือ จักขุวัตถุ โสตวัตถุ ฆานวัตถุ ชิวหาวัตถุ กายวัตถุ หทัยวัตถุ)
ปริจเฉทที่ ๔ วิถีสังคหวิภาค
แสดงวิถีจิตกระบวนการทำงานของจิตเมื่อรับรู้อารมณ์ผ่านทวารทั้ง ๖ อันได้แก่กระบวนการทำงานของจิตที่เกิดทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เมื่อได้ศึกษาปริจเฉทนี้แล้วจะทำให้รู้กระบวนการทำงานของจิตทุกประเภท บุญบาปไม่ได้เกิดที่ไหน เกิดที่วิถีจิตนี้เอง ก่อนที่จะเกิดจิตบุญหรือจิตบาป มีจิตขณะหนึ่งเกิดก่อน คอยเปิดประตูให้เกิดจิตบุญหรือจิตบาป จิตดวงนี้เกี่ยวข้องกับการวางใจอย่างแยบคาย (โยนิโสมนสิการการทำในใจโดยแยบคาย การพิจารณาโดยถูกวิธี เป็นเหตุให้เกิดกุศลธรรม) หรือการวางใจอย่างไม่แยบคาย (อโยนิโสมนสิการการทำในใจโดยไม่แยบคาย การพิจารณาโดยผิดวิธี เป็นเหตุให้เกิดอกุศลธรรม) หากเราได้เข้าใจก็จะมีประโยชน์ในการป้องกันมิให้จิตบาปเกิดขึ้นได้
ปริจเฉทที่ ๕ วิถีมุตตสังคหวิภาค
แสดงถึงการทำงานของจิตขณะใกล้ตาย ขณะตาย (จุติการเคลื่อน, การตาย, จิตที่ทำหน้าที่ตาย) และขณะเกิดใหม่ (ปฏิสนธิการสืบต่อ, การเกิด, จิตที่ทำหน้าที่เกิดในภพใหม่) กล่าวถึงเหตุแห่งการตาย การเกิดของสัตว์ในภพภูมิต่างๆระดับชั้นของชีวิตที่สัตว์ไปเกิดตามอำนาจกรรม มี ๓๑ ภูมิ โดยแบ่งได้ถึง ๓๑ ภพภูมิกามภูมิ ๑๑, รูปภูมิ ๑๖, อรูปภูมิ ๔ (มนุษยภูมิเป็นเพียง ๑ ใน ๓๑ ภูมิ) ขณะเวลาใกล้จะตาย ภาวะจิตเป็นอย่างไร ควรวางใจอย่างไรจึงจะไปเกิดในภพภูมิที่ดี พระพุทธองค์ทรงอธิบายไว้อย่างชัดเจนว่าตายแล้วต้องเกิดทันที มิใช่ตายแล้ววิญญาณ (จิต) ต้องเร่ร่อนเพื่อไปหาที่เกิดใหม่ และยังได้อธิบายเรื่องของกรรมการกระทำโดยเจตนา ที่จะส่งผลในอนาคต ลำดับแห่งการให้ผลของกรรมไว้อย่างละเอียดลึกซึ้งอีกด้วย
ปริจเฉทที่ ๖ รูปสังคหวิภาคและนิพพาน
เมื่อได้ศึกษาทำความเข้าใจเรื่องจิตและเจตสิก อันเป็นนามธรรมธรรมที่ไม่มีรูป มีแต่การรู้ การนึกคิดมาแล้ว ในปริจเฉทที่ ๖ นี้พระอนุรุทธาจารย์ได้แสดงองค์ประกอบที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของมนุษย์และสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย นั่นก็คือเรื่องของรูปสภาวะที่ไม่รู้อารมณ์ เป็นสสารหรือส่วนที่เป็นร่างกาย ร่างกาย (รูปธรรมธรรมที่มีรูป สัมผัสได้ทางกาย) โดยแบ่งรายละเอียดออกเป็นรูปต่างๆ ได้ ๒๘ ชนิดมหาภูตรูป ๔ และอุปาทายรูป ๒๔ และอธิบายถึงสมุฏฐานเหตุเกิด, ที่ตั้งแห่งการเกิดของรูป มี ๔ คือ กรรม จิต อุตุ อาหาร (เหตุ) ในการเกิดรูปต่างๆ ไว้อย่างละเอียดพิสดาร ในตอนท้ายได้กล่าวถึงเรื่องพระนิพพานสภาวะที่ดับกิเลสและกองทุกข์ เป็นเป้าหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนาว่ามีสภาวะอย่างไร อันจะทำให้เข้าใจเรื่องของพระนิพพานได้อย่างถูกต้องชัดเจน
ปริจเฉทที่ ๗ สมุจจยสังคหวิภาค
เมื่อได้ศึกษาปรมัตถธรรม ๔คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน อันได้แก่ จิต เจตสิก รูป นิพพาน มาจากปริจเฉทที่ ๑ ถึง ๖ แล้ว ในปริจเฉทนี้จะแสดงธรรมที่เป็นฝ่ายกุศล ซึ่งให้ผลเป็นความสุขและธรรมที่เป็นฝ่ายอกุศลซึ่งให้ผลเป็นความทุกข์ ในสภาวะความเป็นจริงแล้วกุศลจิต (จิตบุญ) และอกุศลจิต (จิตบาป) จะเกิดสลับสับเปลี่ยนกันอยู่ตลอดเวลา ส่วนจะเกิดจิตชนิดไหนมากน้อยเพียงใดนั้นย่อมขึ้นอยู่กับคุณธรรมและจริยธรรมของแต่ละบุคคล คนเราทั่วไปมักไม่เข้าใจและไม่รู้จักกับกุศลและอกุศลเหล่านี้ จึงทำให้ชีวิตตกอยู่ในวัฏฏทุกข์ทุกข์ที่เกิดจากการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏไม่รู้จักจบสิ้น ในปริจเฉทที่ ๗ นี้ได้แสดงธรรมที่ควรรู้ที่สำคัญๆได้แก่ อุปาทานขันธ์ขันธ์ ๕ ที่ถูกอุปาทาน (ความยึดมั่นถือมั่น) เข้าไปยึดไว้ (ขันธ์กอง, ส่วนประกอบของชีวิต มี ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณที่ถูกอุปาทานยึดมั่นอย่างเหนียวแน่น), อายตนะ ๑๒ที่เชื่อมต่อระหว่างภายในและภายนอก ทำให้เกิดการรับรู้ มี อายตนะภายใน ๖ และอายตนะภายนอก ๖ (สิ่งเชื่อมต่อเพื่อให้รู้อารมณ์), ธาตุ ๑๘ธรรมชาติที่ทรงไว้ซึ่งสภาวะของตน เป็นพื้นฐานของการรับรู้ ประกอบด้วย อายตนะภายใน ๖, อายตนะภายนอก ๖, และวิญญาณธาตุ ๖ (ธรรมชาติที่ทรงไว้ซึ่งสภาพของตน), อริยสัจ ๔ความจริงอันประเสริฐ ๔ ประการ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค (ความจริงของพระอริยะ), โพธิปักขิยธรรมธรรมอันเป็นฝักฝ่ายแห่งความตรัสรู้ มี ๓๗ ประการ (ธรรมที่เกื้อกูลการตรัสรู้, ธรรมที่เกื้อหนุนแก่อริยมรรค) มี ๓๗ ประการสติปัฏฐาน ๔, สัมมัปปธาน ๔, อิทธิบาท ๔, อินทรีย์ ๕, พละ ๕, โพชฌงค์ ๗, มรรคมีองค์ ๘ คือ สติปัฏฐาน ๔ฐานที่ตั้งแห่งสติ ๔ ประการ, สัมมัปปธาน ๔ความเพียรชอบ ๔ ประการ, อิทธิบาท ๔คุณเครื่องให้ถึงความสำเร็จ ๔ ประการ, อินทรีย์ ๕ธรรมที่เป็นใหญ่ในหน้าที่ของตน ๕ ประการ, พละ ๕กำลังธรรม ๕ ประการ, โพชฌงค์ ๗องค์แห่งการตรัสรู้ ๗ ประการ และ มรรคมีองค์ ๘หนทางอันประเสริฐมีองค์ประกอบ ๘ ประการ นำไปสู่ความดับทุกข์
ปริจเฉทที่ ๘ ปัจจยสังคหวิภาค
ในปริจเฉทนี้ ท่านได้แสดงเรื่องปฏิจจสมุปบาทธรรมที่อาศัยกันเกิดขึ้นเป็นทอดๆ เป็นกฎแห่งการเกิดขึ้นพร้อมแห่งธรรมทั้งหลาย (เหตุและผลที่ทำให้มีการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ) และปัจจัยสนับสนุน ๒๔ ปัจจัยปัจจัย ๒๔ ประการตามนัยแห่งคัมภีร์ปัฏฐาน ที่อุดหนุนให้ธรรมทั้งหลายเกิดขึ้น ในตอนท้ายยังได้แสดงความหมายของบัญญัติธรรมสิ่งที่ถูกสมมติขึ้น ไม่ได้มีอยู่โดยสภาวะปรมัตถ์ เช่น คน สัตว์ สิ่งของ ซึ่งเป็นธรรมที่ไม่ใช่เป็นความจริงแท้แต่เป็นจริงตามสมมุติ (สมมุติสัจจะความจริงโดยสมมติ ที่ชาวโลกตกลงกันใช้เรียกหรือสมมุติโวหาร) ตามกติกาของชาวโลก
ปริจเฉทที่ ๙ กัมมัฏฐานสังคหวิภาค
ในปริจเฉทนี้ ท่านกล่าวถึงความแตกต่างของสมถกรรมฐานการปฏิบัติกรรมฐานเพื่อให้จิตสงบแน่วแน่เป็นสมาธิ และ วิปัสสนากรรมฐานการปฏิบัติกรรมฐานเพื่อให้เกิดปัญญาเห็นแจ้งในสภาวะของนามรูปตามความเป็นจริง เพื่อให้เห็นว่าสมถกรรมฐานหรือการทำสมาธินั้นเป็นการปฏิบัติเพื่อให้จิตเกิดความสงบ และเกิดอภิญญาความรู้ยิ่งยวด มี ๖ อย่าง เช่น แสดงฤทธิ์ได้ หูทิพย์ ตาทิพย์ (เกิดอิทธิฤทธิ์ต่างๆ) เท่านั้น ซึ่งไม่ใช่จุดมุ่งหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนา เพราะผลของการทำสมาธิหรือสมถกรรมฐานนั้นเป็นการข่มกิเลสไว้ชั่วขณะเท่านั้น ไม่สามารถทำลายกิเลสได้ ถึงแม้จะเจริญสมถกรรมฐานถึงขั้นอรูปฌานฌานที่ไม่มีรูปเป็นอารมณ์ มี ๔ ขั้นจนได้เสวยสุขอยู่ในอรูปพรหมภูมิภพของผู้ได้อรูปฌาน เป็นภพที่ละเอียดประณีต ไม่มีรูปเป็นเวลาอันยาวนาน แต่ในที่สุดก็ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จักจบจักสิ้น
🎯จุดมุ่งหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา
จุดมุ่งหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา คือการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน เพื่อให้เกิดปัญญารู้แจ้งในสภาวธรรมตามความเป็นจริงว่า จิต + เจตสิก และรูป ซึ่งเป็นองค์ประกอบของชีวิตต่างก็มีการเกิดขึ้น – ตั้งอยู่ – ดับไป – เกิดขึ้น – ตั้งอยู่ – ดับไป ต่อเนื่องกันไปอย่างรวดเร็วอยู่ตลอดเวลา เป็นสภาพที่ไม่เที่ยง ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ ไม่ใช่ตัวตนอะไรของใคร ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่สามารถที่จะบังคับบัญชาได้ ว่างเปล่าจากความเป็นตัวตน ปัญญาที่ประจักษ์แจ้งในสภาวธรรมตามความเป็นจริงเช่นนี้ เมื่อมีกำลังแก่กล้าก็จะสามารถประหารกิเลสและเข้าถึงพระนิพพานได้ในที่สุด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
ขอเชิญแสดงความคิดเห็นด้วยเมตตา สะท้อนข้อคิดของตนไว้ที่นี่ได้ ความคิดเห็นที่สุภาพและสร้างสรรค์จะเป็นธรรมทานร่วมกันแก่ผู้อื่น🌿🌿