บทความ

อารมณ์ของทวารวิมุตตจิต

รูปภาพ
ในจำนวนจิตทั้งหมด ส่วนมากแล้วจำเป็นต้องอาศัยทวารเกิดเสมอ เรียกจิตที่อาศัยทวารเกิดนี้ว่า “ทวาริกจิต” แต่ยังมีจิต ๑๙ ดวง เป็นจิตที่เกิดโดยไม่ต้องอาศัยทวารใดเลย ดังกล่าวแล้วใน “ ทวารสังคหะ ” จิต ๑๙ ดวงนั้น ได้แก่ อุเบกขาสันตีรณจิต ๒ มหาวิบากจิต ๘ มหัคคตวิบากจิต ๙ จิตทั้ง ๑๙ ดวงนี้ ขณะทำหน้าที่ปฏิสนธิกิจ, ภวังคกิจ, จุติกิจ ทั้ง ๓ อย่างนี้ แม้จะเกิดขึ้นโดยไม่ต้องอาศัยทวารหนึ่งทวารใด เพราะเกิดขึ้นด้วยอำนาจของกรรมในอดีตก็จริง แต่ก็ต้องรับอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งในบรรดาอารมณ์ ๖ อยู่เสมอ ซึ่งอารมณ์เหล่านี้ไม่ได้เกี่ยวข้องในปัจจุบันภพ เป็นอารมณ์ที่ได้มาจากภพก่อนที่มรณาสันนชวนะ (จิตที่เสพอารมณ์เมื่อใกล้จะตาย) รับเอามาเมื่อใกล้จะตาย แล้วแต่การเสพอารมณ์เมื่อใกล้จะตายของผู้นั้นจะได้รับอารมณ์อะไร ถ้าเมื่อใกล้จะตาย รับรูปารมณ์ รูปารมณ์ นั้น ก็เป็นอารมณ์ของทวารวิมุตตจิต หรือเมื่อใกล้จะตาย มรณาสันนชวนะรับเอาสัททารมณ์, คันธารมณ์, รสารมณ์, โผฏฐัพพารมณ์ ธรรมารมณ์แล้ว สัททารมณ์ เป็นต้นเหล่านั้นก็เป็นอารมณ์ของทวารวิมุตตจิต จึงกล่าวได้ว่า อารมณ์ของทวารวิมุตตจิต คือ อารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งในบรรดาอารมณ์ทั้ง ๖ นั...

อารัมมณสังคหะ

รูปภาพ
 แสดงการรวบรวมจิตและเจตสิก โดยประเภทแห่งการรับอารมณ์ ชื่อว่า “ อารัมมณสังคหะ ” อารมณ์ คือ ธรรมชาติ อันเป็นที่น่ายินดีของจิตและเจตสิก หรือเป็นธรรมชาติ อันเป็นที่ยึดหน่วงของจิตและเจตสิกทั้งหลาย ดังวจนัตถะว่า  (จิตฺตเจตสิกานิ) อาคนฺตวา เอตฺถ รมนฺตีติ อารมฺมณํ  แปลว่า จิตและเจตสิกทั้งหลายมาแล้วย่อมยินดีในธรรมชาตินี้ ฉะนั้นธรรมชาตินี้ ชื่อว่า อารมฺมณ. (ธรรมชาติเป็นที่มายินดีของจิตและเจตสิก)  ( จิตฺฺตเจตสิเกหิ) อาลมฺพิยตีติ อาลมฺพนํ  แปลว่า ธรรมชาติใด ที่จิตและเจตสิกทั้งหลายยึดหน่วงอยู่ ฉะนั้น ธรรมชาตินั้น ชื่อว่า อาลมุพน . (ธรรมชาติเป็นที่ถูกจิตและเจตสิกยึดหน่วง) ฉะนั้น ธรรมชาติใดที่ทําให้จิตและเจตสิกข้องติดอยู่โดยอาการเป็นที่น่ายินดี หรือเป็นที่ให้ยึดหน่วงอยู่ได้ ธรรมชาตินั้นเรียกว่า อารัมมณะ หรือ อาลัมพนะ ซึ่งได้แก่ อารมณ์ ๖ อย่าง คือ :-   อารมณ์ ๖ ประเภท ๑. รูปารมณ์ องค์ธรรมได้แก่ วัณณรูป คือ สีต่าง ๆ ๒. สัททารมณ์ องค์ธรรมได้แก่ สัททรูป คือ เสียงต่างๆ ๓. คันธารมณ์ องค์ธรรมได้แก่ คันธรูป คือ กลิ่นต่าง ๆ ๔. รสารมณ์ องค์ธรรมได้แก่ รสรูป คือ รสต่าง ๆ ๕. โผฏฐ...

ทวารสังคหะ

รูปภาพ
คือ การรวบรวมช่องทางรู้อารมณ์ของจิตและเจตสิก ชื่อว่า “ ทวาร สังคหะ ” คำว่า “ทวาร” แปลว่า ประตู สำหรับเป็นที่เข้าออกของบุคคลทั้งหลายได้ใช้ผ่านเข้าออก เพื่อทำกิจการงานต่างๆ ได้ จิตและเจตสิกที่จะทำกิจการงานเพื่อรู้อารมณ์ต่าง ๆ ได้ ก็ต้องอาศัยประตูหรือทวารเช่นเดียวกัน มีจักขุปสาทเป็นต้น ชื่อว่า “ทวาร” เพราะเป็นเหมือนหนึ่งประตูที่ใช้เป็นทางเข้าออกของวิถีจิต ให้เกิดการงาน เห็นอารมณ์ขึ้นมาได้ ถ้าไม่มีจักขุปสาท คือ จักขุทวารแล้ว ก็จะเห็นอารมณ์ใด ๆ ไม่ได้เลย กล่าวคือ ถ้าสัตว์ทั้งหลายไม่มีปสาทรูปทั้ง ๕ และภวังคจิตเสียแล้ว วิถีจิตใด ๆ ก็จะเกิดขึ้นไม่ได้ เมื่อวิถีจิตเกิดขึ้นไม่ได้แล้ว กรรม คือ การกระทำ, การพูด, การนึกคิดที่ดี หรือไม่ดีก็ตามย่อมไม่อาจเกิดขึ้นได้เลย สัตว์ทั้งหลายก็จะไม่ผิดอะไรกันกับพืช หรือวัตถุสิ่งของต่าง ๆ เท่านั้น ทวาร หรือประตู ที่จิตไปรู้อารมณ์ต่าง ๆ ได้นั้น มี ๖ ทวาร คือ :- ๑. จักขุทวาร องค์ธรรมได้แก่ จักขุปสาท ๒. โสตทวาร องค์ธรรมได้แก่ โสตปสาท ๓. มานทวาร องค์ธรรมได้แก่ ฆานปสาท ๔. ชิวหาทวาร องค์ธรรมได้แก่ ชิวหาปสาท ๕.กายทวาร องค์ธรร...

๒. อุเทสวาระ

รูปภาพ
[ ๑ ] ในคาถาว่า “โสฬสหารา (หาระ ๑๖)” เป็นต้นนั้น หาระ ๑๖ เป็นไฉน ? คือ เทสนาหาระ, วิจยหาระ, ยุตติหาระ, ปทัฏฐานหาระ, ลักขณหาระ, จตุพยูหหาระ, อาวัฏฏหาระ, วิภัตติหาระ, ปริวัตตนหาระ, เววจนหาระ, ปัญญัตติหาระ, โอตรณหาระ, โสธนหาระ, อธิฏฐานหาระ, ปริกขารหาระ และ สมาโรปนหาระ        คาถาที่กล่าวตามอุทเทสแห่งหาระนั้น (สำหรับจดจำหาระ ๑๖) หาระ มี ๑๖ คือ เทสนาหาระ, วิจยหาระ, ยุตติหาระ, ปทัฏฐานหาระ, ลักขณหาระ, จตุพยูหหาระ, อาวัฏฏหาระ, วิภัตติหาระ, ปริวัตตนหาระ, เววจนหาระ, ปัญญัตติหาระ, โอตรณหาระ, โสธนหาระ, อธิฏฐานหาระ, ปริกขารหาระ และ สมาโรปนหาระ หาระ ๑๖ ที่ข้าพเจ้าแสดงนั้นไม่มีการปะปนระคนกัน โดยเนื้อความ. การจำแนกโดยนัยอันสมควรจะมีโดยพิสดาร (ต่อไป) [ ๒ ] ในคาถาว่า “โสฬสหารา (หาระ ๑๖)” เป็นต้นนั้น นัย ๕ เป็นไฉน ? คือ นันทิยาวัฏฏนัย, ติปุกขลนัย, สีหวิกกีฬิตนัย, ทิสาโลจนนัย, และ อังกุสนัย.        คาถาที่กล่าวตามอุทเทสแห่งนัยนั้น (สำหรับจดจำนัย ๕) พึงทราบว่านัยทั้งปวงมี ๕ ดังนี้ คือ นัยที่ ๑ ชื่อว่า นันทิยาวัฏฏะ, นัยที่ ๒ ชื่อว่า ติปุกขละ, นัยที่ ๓ อันสามารถนำมาซึ่...

คัมภีร์พุทธวงศ์ ตอนที่ ๑๕ วงศ์พระสุมนพุทธเจ้า

รูปภาพ
🔅  ธรรมบรรยายโดย  พระอาจารย์สมบัติ นันทิโก ตอนที่ ๑๕   (ความยาว ๑.๓๙ ชม.) พระพุทธเจ้าลำดับที่ ๔ ต่อมาจากวงศ์ของพระมงคลพุทธเจ้า คือ พระพุทธเจ้าพระนามว่าสุมนะ ผู้ ไม่มีใครเสมอเหมือนโดยธรรมทั้งปวง พระประวัติ พระสุมนะพุทธเจ้า ประสูติเป็นพระสุมนะราชกุมาร ในราชวงศ์กษัตริย์แห่งเมขละนคร พระราชบิดาทรงพระนามว่าพระเจ้าสุทัตตะ และพระราชมารดาทรงพระนามว่าพระนางสิริมา สุมนะราชกุมารทรงเกษมสำราญอยู่ ๙,๐๐๐ ปี ในปราสาท ๓ หลัง ชื่อ สิริวัฒนะ โสมวัฒนะ และอิทธิวัฒนะ มีพระมเหสีพระนามว่า พระนางวฏังสิกาเทวี และทรงมีสนมนารีแวดล้อมอีก ๓๖๐,๐๐๐ นาง วันหนึ่ง พระสุมนะทอดพระเนตรเห็นเทวทูตทั้งสี่ พระองค์จึงมีพระทัยน้อมไปทางบรรพชา เมื่อพระนางวฏังสิกาเทวีประสูติพระโอรส พระนามว่า อนูปมะกุมาร จึงได้เสด็จออกบรรพชาด้วยคชยาน โดยมีผู้ออกบรรพชาตาม จำนวน ๓๐ โกฏิ สุมนะราชกุมารทรงบำเพ็ญความเพียรอยู่ ณ อโนมนิคม เป็นเวลา ๑๐ เดือน จนถึงวันเพ็ญเดือนวิสาขะ ทรงรับข้าวมธุปายาสจากนางอนุปมา ธิดาของอโนมเศรษฐี และรับหญ้า ๘ กำจากอนุปมาชีวก ปูลาดใต้ต้นนาคะ (ต้นกากะทิง) เป็นโพธิบัลลังก์ กำจัดเหล่ามารให้พ้นไป และได้ตรัสรู้เป็นพระ...